สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ว่า สำนักงานการบินพลเรือนอินเดียประกาศปิดน่านฟ้า จากเที่ยวบินของปากีสถาน รวมถึงเครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินเช่าเหมาลำ และเครื่องบินทหาร ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ที่ปากีสถานปิดน่านฟ้าจากอากาศยานของอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมาตรการของอินเดียจะมีผลจนถึงวันที่ 23 พ.ค. นี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า มาตรการของปากีสถานจะมีผลจนถึงเมื่อใด


ทั้งนี้ นายอัตเตาเลาะห์ ตาราร์ รมว.ข่าวสารปากีสถาน กล่าวว่า รัฐบาลอิสลามาบัด “มีข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้” ว่าอินเดียเตรียมใช้ปฏิบัติการโจมตีทางทหาร “ภายในอนาคตอันใกล้นี้” โดยจะใช้เหตุการณ์ที่เมืองพาฮาลแกม “เป็นข้ออ้าง” และปากีสถานพร้อมตอบโต้อย่างถึงที่สุด และอินเดียต้องรับผิดชอบอย่างสาสม กับการกระตุ้นความรุนแรงในภูมิภาค


ท่าทีดังกล่าวของปากีสถานเกิดขึ้น หลังมีรายงานจากสื่อหลายแห่งว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย เรียกประชุมฉุกเฉินทหารระดับสูงในกองทัพ และหน่วยงานด้านความมั่นคงอีกหลายแห่ง รายงานอ้างว่า โมดี “มอบอำนาจอย่างอิสระ” ให้แก่กองทัพ ในการตอบโต้การโจมตีทางทหารของปากีสถาน


ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานตึงเครียดขึ้นอีกขั้น และยกระดับอย่างรวดเร็ว หลังเกิดเหตุกลุ่มติดอาวุธกราดยิงกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่เมืองพาฮาลแกม ในรัฐชัมมูและกัศมีร์ หรือภูมิภาคแคชเมียร์ภายใต้อธิปไตยของอินเดีย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย


หลังเกิดเหตุ รัฐบาลอินเดียกล่าวว่า เป็นฝีมือของกลุ่มลาชการ์-อี-ไทบา ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในปากีสถาน และเป็นองค์กรก่อการร้ายในบัญชีดำของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขณะที่รัฐบาลปากีสถานยืนกรานปฏิเสธ และเรียกร้องการสอบสวนระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศใช้มาตรการทางการทูตตอบโต้กันอย่างหนัก รวมถึงการเนรเทศนักการทูต การระงับออกวีซ่า และการปิดจุดผ่านแดน ยิ่งไปกว่านั้น อินเดียประกาศระงับสนธิสัญญาแบ่งปันน้ำตามแนวลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งปากีสถานเตือนว่า เรื่องนี้ถือเป็น “การประกาศสงคราม”.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES