เป็นอีกคนที่ตามทันทุกกระแสทุกเหตุการณ์บนโลกโซเซียล สำหรับแม่นาย “ดัง พันกร” ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นที่ถูกใจของชาวเน็ตไปทุกเรื่อง เรียกว่าทันโลกทันข่าวทันกระแสแบบสุดๆ บอกเลยขึ้นแท่นขวัญใจชาว Gen Z ไม่น้อย ล่าสุดเดินทางมาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บ Show ทางช่องOne31 อัปเดตชีวิตหลังห่างหายไปจากวงการนานหลายปี รวมถึงเล่านาทีเฉียดตาย โดย ดัง พันกร เล่าว่า

“ขึ้นแท่นขวัญใจ GEN Z ไปแล้ว ถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ดีๆ เราก็คึกคักกับวัยรุ่นยุคใหม่ จริงๆ แล้วก็เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัยเขาเล่นโซเชียลเราก็ลองเล่นโซเชียลดูบ้าง แล้วยอดติดตามขึ้นดีมากเลย คือมันเริ่มมาจากที่ดังเป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี และคือถ้าเรามีเพจก็เหมือนเราคุยกับแฟนเพลง ที่สมัยก่อนต้องเขียนจดหมายหากัน อันนี้มันก็ว่าไดเรกต์ตรง เวลาเรามีอะไรเราก็ไม่อยากขำคนเดียวอยู่บ้านหรือกับเพื่อนก็เอามาขำด้วยกันแล้วกัน แต่ว่าทันกระแสหมดเลยนะ เพราะแอดมินเราเยอะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น คนก็จะแซวว่าเรามีแอดมิน 200 คน ก็เล่นกันไป น้องๆ ก็เล่นกันด้วย

ซึ่งมันก็มีทั้งคนที่สนุกกับเรา และมองไปในทางที่สร้างกระแส จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่ของเราจะไม่ค่อยมีในทางลบ ดังเลยมองว่ามันเป็นอีกที่หนึ่งที่คลายเครียด เครียดจากงานมารถติดก็ทำให้ยิ้มได้ หัวเราะได้ จุดประสงค์ก็แค่นั้นเอง ถ้าถามถึงเรื่องเป็นคน introvert มั้ย คือเมื่อก่อนการก็จะเป็นคนที่เงียบๆ ของดัง แต่ดังก็เป็นคนที่สนุกสนานแบบนี้มานานแล้ว ไม่ได้ introvert แบบนั้นหรอกครับ เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีโซเชียลอะไรแบบนี้ เราก็จะอยู่กับเพื่อนเราซะส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้เราก็จะมีเพื่อนมากขึ้น เพื่อนในเพจมาคอมเมนต์กันไปมาก็สนุกดี บางทีเราเหงาๆ ตอนกลางคืน ก็มานั่งดูเขาตอบกันมา เราก็ขำไปด้วยยิ้มไปด้วย มันก็เหมือนมีเพื่อน ณ ปัจจุบันมีเพื่อนเพิ่มขึ้นน่าจะประมาณ 500,000 กว่า ใครที่อยากรับความบันเทิงจากพวกเราติดตามเพจได้นะครับ”

ดัง พันกร เผยว่า “ส่วนฉายาแม่นายมาจากไหน จริงๆ มาจากพี่ๆ นักข่าวตั้งให้ แล้วก็เลยเถิดมาถึงทุกวันนี้ จริงๆ สรรพนามมีมาโดยตลอด แต่อยากจะเรียกอะไรน้องก็ยินดี ขอให้เขาเรียกแต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะเราบังคับคนอื่นไม่ได้ ฉายาล่าสุดก็แม่นาย โอเคก็ได้ ก่อนหน้านี้จะมีช่วงที่หายไป หลังจากที่อยู่ในวงการมา 20 ปี ก็คือช่วงไม่นานเลยใช่ไหมครับ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆ ได้พักจริงๆ เวลาที่ออกอัลบั้มออกเทปมา คือไม่ได้หยุดเลย ทำเพลงออกคอนเสิร์ตเตรียมงานใหม่มันก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด เรียกว่าพักดูแลตัวเอง ดูแลร่างกาย ซึ่งคนวงในเมาท์มาว่าหยุดทำงานพักใช้เงิน จริงๆ แล้วเป็นช่วงที่อยู่กับตัวเอง ชอปปิงก็เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว เหมือนจะพักแต่ก็ไม่ได้พักเพราะว่าเรารักในงานเพลง ก็คิดงานเพลงใหม่ๆ มาเรื่อยๆ ก็ทำงานโปรเจกต์ใหม่อยู่ ซึ่งก็จะเป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่จะมอบให้กับแฟนเพลงของดังเลยที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มแรกเลยก็น่าจะมีอะไรให้ชมกันประมาณปลายปีนี้ ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อนก็ล้านตลับตลอด กี่อัลบั้มที่ออกมาก็ไม่ได้นับ (หัวเราะ) แต่น่าจะหลายอัลบั้ม เพราะมันมีอัลบั้มพิเศษด้วยเพราะมานับตอนนี้ก็หลายอัลบั้มอยู่นะครับ

สำหรับเรื่องที่เคยเป็นคู่จิ้นกับ “โดม” มาก่อน จริงๆ โดมกับดังก็สนิทกัน เพราะอยู่ค่ายเดียวกัน ไม่ใช่คู่จิ้น ก็ด้วยความที่สนิทกันอยู่ค่ายเดียวกัน ก็จะมีเล่นกันบ้าง บางทีก็เล่นกันไปกันมา ก็เป็นความสนิท มิตรภาพที่ดีมากกว่า ส่วนที่โพสต์กันไปกันมาก็เหมือนเล่นกันในเพจ พูดคุยกับแฟนคลับให้ลูกเพจได้มีความสนุกสนาน ส่วนคนเข้าใจว่าเปลี่ยนชื่อ จริงๆ คนเข้าใจว่าดังเปลี่ยนชื่อ แต่นั่นมันคือชื่ออัลบั้ม มันเป็นชื่อที่พระอาจารย์ที่นั่งวิปัสสนาตั้งให้ และเอามาลิงก์กับเพลง เพราะมันเป็นอัลบั้มใหม่ก็เอามาลิงก์กัน ตอนนั้นก็ปล่อยออกมาเพลงนึง ในอัลบั้มก็หยุดทำเพราะเปลี่ยนไอเดีย และช่วงโควิดด้วย ตอนนั้นเทเงินไปก็ไม่เท่าไหร่ครับ มันคือช่วงระหว่างการทำด้วยยังทำไม่เสร็จสิ้น แต่ก็โชคดีที่ช่วงโควิดคนก็ไม่พร้อมจะรับอะไรทั้งสิ้น เราก็เลยโอเค แล้วก็มีไอเดียใหม่ขึ้นมาด้วย ก็เลยเกิดสิ่งใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่องกันไปครับผม”

ทั้งนี้ ดัง พันกร ได้เล่าย้อนกลับไปในเหตุการณ์วินาทีเฉียดตายว่า “ตอนเล่นคอนเสิร์ตมีเรื่องราวเฉียดตายด้วย แต่ก่อนเราเล่นคอนเสิร์ตทุกครั้งแล้วมันก็จะมีต่างจังหวัดก็จะมีตีกัน ร้องอยู่บางทีก็ขวดปาบ้าง แก้วแตกบ้าง ตอนนั้นหน้าที่เราก็คือต้องวิ่งเข้าหลังเวที แต่เราก็ยืนถือไมค์แล้วบอกให้ใจเย็นๆ นะพี่ ส่วนทีมงานก็ต้องมาลากเราเข้าไปในหลังเวที แล้วก็ขับรถออกจากสถานที่แล้วก็ไปเข้าห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งเขาก็ยังสู้กันอยู่ ซักพักก็มีเสียงปิ้วเหมือนเป็นลูกกระสุน แล้วมันไปโดนที่ถังขยะ เฉียดเลยสัมผัสได้ถึงลมก็เลยรีบเข้าห้องน้ำและขึ้นรถตู้กลับบ้าน ตอนนั้นก็จิตตกแต่โชคดีที่ไม่โดนเรา เวลาเราขึ้นคอนเสิร์ตแต่ละทีเราไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย เพราะเรารู้สึกว่าเรามามอบความสุข ไม่ได้คาดคิดว่าคนจะตีกัน หน้าที่เราเป็นนักร้องพร้อมขึ้นเวทีแล้ว มอบความสุขความสนุกให้กับคนบนเวที เพราะฉะนั้นเรื่องหน้างานมันไม่ได้คาดคิด

คนส่วนใหญ่เขารู้ว่าบ้านเราคุณพ่อเป็นตำรวจ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็น่าจะพอทราบกันบ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถึงวินาทีนั้นก็ชุลมุน อยู่งานๆ นึงเป็นทัวร์ใหญ่ของบริษัทอาร์เอส ดังขึ้นคนสุดท้าย เขาล้อมรั้วแบบจริงจังยกเวทีจากกรุงเทพฯ ไปเลย มีนักร้องประมาณ 12 คน คอนเสิร์ตเริ่มแล้วเราแต่งหน้าทำผมพร้อมแล้วอยู่หลังเวที พอคนที่ 11 ขึ้นดันตีกันซะก่อน กลายเป็นว่าศิลปินทุกคนก็ต้องเกณฑ์กันขึ้นรถบัส คอนเสิร์ตก็ยกเลิก เราก็กลับบ้าน เราก็เสียฟีลเหมือนกันเพราะเรายังไม่ได้ขึ้นเลย แต่งตัวไปเก้อเลย ก็คือเป็นอีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่จะไม่ลืมเลย เพราะมันเป็นงานใหญ่และงานของค่ายด้วย”