จากกรณีเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกลุ่มไทยทรงดำ หรือ ไทดำ บ้านทับชัน ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี กับหน่วยงานราชการ เกี่ยวกับการแย้งสิทธิครอบครองที่ดิน และทำประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือ นสล. ทุ่งปากขอสาธารณประโยชน์ หมู่ 1 บ้านควนท่าแร่ ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม ล่าสุดองค์การบริหารส่วนตำบลทรัพย์ทวี ซึ่งดูแลที่ดินสาธารณประโยชน์ ได้ร้องขอให้ กอ.รมน.ภาค 4 เข้าดำเนินการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อพิพาท หลังกลุ่มชาวไทดำ ได้รวมตัวกันประท้วงว่า การออกเอกสาร นสล. เลขที่ 30977 เป็นการออกเอกสารที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิมที่ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อปี 2475 แต่จังหวัดสุราษฎร์ฯ ไม่ดำเนินการเพิกถอน ล่าสุด กลุ่มไทยทรงดำ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ถึงปัญหายืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

“ไทดำ ทับชัน” ฮือ! จี้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน หลังถูกอำเภอสั่งรื้อถอน

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. หลังจากที่คณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 นำโดย พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าชุด ได้ลงพื้นที่ใช้อากาศยานไร้คนขับ บินสำรวจเพื่อรวบรวมภาพถ่ายทางอากาศ ไปประกอบภาพเชิงซ้อน รวมถึงแปลภาพถ่ายทางดาวเทียมเปรียบเทียบกับแผนที่ทหาร ในการหาตำแหน่งที่ตั้งของทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอ ที่ขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี 2475 ก่อนมีการรังวัดออกเอกสาร นสล. เมื่อปี 2529

พ.อ.ดุสิต กล่าวว่า ในส่วนการทำแผนที่เชิงซ้อนเหลือเพียงขั้นตอนของการ “แปลภาพถ่ายดาวเทียม” ประกอบแผนที่ทหาร เพื่อพิสูจน์ประเด็นความขัดแย้งในการครอบครองสิทธิระหว่างราษฎรไทยทรงดำ กับหน่วยงานราชการ ได้มีการกล่าวอ้างถึงการออกเอกสาร นสล.ผิดที่ผิดแปลง

จากการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานทางเอกสาร เราพบจุดสำคัญที่จะบ่งชี้ว่า เอกสาร นสล.ที่ 30977 ได้มีการออกถูกต้องหรือไม่เรียบร้อยแล้ว เป็นเอกสารต้นฉบับประกาศสงวนที่หวงห้ามฯ เมื่อ 20 ธ.ค.2475 ที่ถูกนำมาขึ้นทะเบียนในแบบฟอร์มที่ดินรกร้างว่างเปล่าซึ่งรัฐบาลหวงห้าม เมื่อปี 2483 ซึ่งสอดคล้องกับการแบ่งพื้นที่การปกครอง อ.บ้านนาสาร ในราชกิจจา

โดยล่าสุด คณะพนักงานสอบสวน นำโดย พ.ต.ท.เฉลิมศักดิ์ อักษรเพียร ได้นำคณะพนักงานสอบสวน เข้าสอบสวนปากคำพยานบุคคล 3 ฝ่าย ประกอบด้วย หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง, ราษฎรดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงทุ่งปากขอ และกลุ่มราษฎรไทยทรงดำ เพื่อประกอบพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ คาดว่าในการสอบสวนปากคำต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีพยานบุคคลจำนวนมาก ซึ่งเราจำเป็นต้องสอบสวนทุกราย เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุด

พ.อ.ดุสิต กล่าวด้วยว่า ในการทำงานแก้ไขปัญหา ของ กอ.รมน.ภาค 4 คณะทำงานฯ เน้นให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง การตรวจพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จะได้ผลที่ชัดเจนถูกต้อง ไม่ว่าผลการตรวจสอบความถูกต้องของที่ดินจะออกมาในรูปแบบใด การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้ความเป็นธรรมให้มากที่สุด อย่างน้อยราษฎรผู้ยากไร้จะต้องมีที่ดินทำกินเพื่อดำรงชีพ.