นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441 เปิดเผยว่า หลังจากพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้แล้วนั้น การขับเคลื่อนการทำงานตาม พ.ร.ก.ใหม่ นั้น ศปอท. เตรียมเชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประชุมหาข้อสรุปมาตรการทางกฎหมายร่วมกัน เพื่อกำหนดระยะเวลาในการปกป้อง ปิดกั้น และระงับการโอนเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันที่ 24 พ.ค. นี้
นอกจากนี้ ศปอท. ต้องมีการตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย เพื่อพิจารณาเรื่องร้องเรียนต่างๆ โดยมีปลัดกระทรวงดีอี เป็นประธานบอร์ดในการชี้ขาดเรื่องร้องเรียนว่า ความผิดอยู่ที่ใคร และต้องรับผิดชอบตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ตามมาตรการที่แต่ละหน่วยงานกำหนดร่วมกัน รวมถึงอยู่ระหว่างการร่างโครงสร้างหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน รวมถึงจะต้องจัดทำระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามมาตราต่าง ๆ ตาม พ.ร.ก. ทั้งในเรื่อง การสั่งการ การวิเคราะห์ การติดตาม และการรายงาน เพื่อขอจัดสรรงบประมาณในการทำงานต่อไป
นายเอกพงษ์ กล่าวต่อว่า ล่าสุด นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ได้รับข้อสั่งการมาจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ ศปอท. ลงไปตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องของประเทศเพื่อบ้าน อาทิ เมียนมา กัมพูชา ที่มาใช้บริการด้านโทรคมนาคมกับบริษัทในประเทศไทยว่า นำโครงข่ายที่เช่าใช้นั้น ไปให้บริการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพื่อนำเสนอการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.สระแก้ว เดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้
“เมื่อ ศปอท. มีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่เดียว ก็ทำให้มีอำนาจในการสั่งการรวดเร็วขึ้น จากที่แต่ก่อนเป็นเพียงลักษณะของความร่วมมือ ประชาชนจึงสามารถเข้ามาร้องเรียนที่ ศปอท. ได้ที่เดียว ซึ่งมีหน้าที่ระงับธุรกรรมการเงินให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องการคืนเงินเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินการทางคดี โดยทาง ปปง. จะมีคณะทำงานในการพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป” นายเอกพงษ์ กล่าว