หลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ผู้ประสบเหตุเสียเลือดจากอวัยวะภายในไม่ว่าจะเป็นอาการตับแตก ม้ามแตก จำเป็นต้องเข้าผ่าตัดด่วน อีกทางเลือกในการรักษา คือวิธีทางรังสีร่วมรักษาหรือ IR (Interventional Radiology )การรักษาผ่านทางเส้นเลือด โดยหมอ IR จะนำสายสวนขนาดเล็กเท่ากับเส้นด้ายเข้าไปอุดเส้นเลือดเพื่อหยุดการไหลของเลือด ช่วยยื้อชีวิตของผู้ป่วย

**หมอ IR รักษาด้วยวิธีอุดหลอดเลือด
รศ.นพ. สมราช ธรรมธรวัฒน์ อาจารย์แพทย์ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าทุกวันนี้มีคำถามจากประชาชนอยู่เสมอว่า “หมอ IR คืออะไร “หมอใช้แสงในการรักษาหรือไม่” “หมอใช้รังสี หรือไม่” จริงๆแล้วหมอIRจะมีบทบาทในการรักษาภาวะเลือดออก ใช้วิธีรักษาด้วยการอุดหลอดเลือด ไม่ว่าจุดเลือดออกนั้นอยู่ที่สมอง อยู่ทีคอ แขนขา ตับไต ไส้ พุง ทุกอย่างทุกอวัยวะมีโอกาสเลือดออก เช่นกรณีกิดอุบัติเหตุ รถชน เกิดภาวะตับแตก ม้ามแตก ภาวะเหล่านี้คือวิกฤติมาก
หมอ IR อยู่ในแผนกรังสีผ่านการเรียนรู้เรื่อง ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีแสกน เอ็มอาร์ไอ อัลตราวาวด์ ส่วนขบวนการรักษากรณีคนไข้ถูกรถชนคนไข้จะถูกเข้าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ดูว่าตับ หรือม้ามแตกหรือไม่ ใช้ภาพนำทางจากการเอกซเรย์ เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกันระหว่างหมอผ่าตัด ถ้าม้าม ตับ มีเลือดออก หมอ IRจะใส่สายสวนหลอดเลือดไปที่ม้าม เพื่อไปอุดหลอดเลือด เพราะฉะนั้นการวินิจฉัยจากภาพเอกซเรย์ต้องใช้ความเชี่ยวชาญของหมอIR กรณีผู้ป่วยมะเร็งหมอIR สามารถให้ยาเคมีบำบัดพุ่งตรงไปที่เนื้องอกในตับได้เลย หรือการรักษามะเร็งตับถ้าพบก้อนมะเร็งขนาดน้อยกว่า 3 ซม.ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสามารถส่งมารักษากับหมอ IR ใช้ภาพนำทางเพื่อนำยาไปรักษาจุดมะเร็งขนาดเล็กนี้ได้ ข้อดีคนไข้ไม่มีแผลผ่าตัดใหญ่ ฟื้นตัวเร็ว

**หมอIRอีกทางเลือกรักษามะเร็ง
เช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองมะเร็ง เมื่อผลตรวจเจอผู้ป่วยมีก้อนเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย ปกติต้องใช้การผ่าตัดเพื่อนำชิ้นเนื้อไปพิสูจน์แต่ขบวนการรักษาของหมอ IR แค่นำชิ้นเนื้อออกมาโดยใช้เข็มเข้าไปเจาะ หรือกรณีผู้ป่วยมีเส้นเลือดโป่งพองในสมอง ปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป ในรายที่เหมาะสมสามารถอุดหลอดเลือดโดยหมอIR ใส่สายสวนเข้าไปทางเส้นเลือด
“เมื่ออดีต 20 ปีก่อนที่ IRจะเริ่มบูม การรักษาม้ามแตก ซึ่งมักเกิดจากอุบัติเหตุรถชน และม้ามเป็นอวัยวะที่แตกง่าย การรักษาใช้วิธีตัดม้ามเลยปัจจุบันไม่จำเป็นเราสามารถอุดหลอดเลือดตรงม้ามได้ คนไข้ไม่ต้องศูนย์เสียอวัยวะ เพราะฉะนั้นการรักษาแบบIRจึงมีความสำคัญ” รศ.นพ. สมราช กล่าว
รศ.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่าในฐานะหมอผ่าตัด ด้วยศาสตร์ด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก ทำให้หมอผ่าตัดไม่จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดรักษาในหลายๆโรค แต่ใช้ความสามารถของหมอ IR มาสนับสนุนร่วมกันรักษา ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นลิ่มเลือดอุดตัน เมื่อมาถึงรพ.ถ้าต้องการเอาลิ่มเลือดออกหมอIRจะเข้าไปแก้ไขในส่วนนี้ได้ก่อน หรือผู้ป่วยมะเร็งตับ มีภาวะตับแตกขึ้นมาในช่องท้องผ่าตัดไม่ได้หมอ IR จะเข้าไปอุดเส้นเลือดให้หยุดเลือดไหลก่อนแล้วจากนั้นจะมาวางแผนผ่าตัดต่อไป

**หมอIRชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนได้
“หมอIRอยู่ในช่วงวิกฤติตลอดเวลา ดังนั้นหมอIR จึงสำคัญไม่แพ้กับ ICU ต้องแสตนบาย 24 ชม. เป็นทีมแพทย์ที่เป็นกำลังหลักในการรักษาโรคและจำนวนชนิดของการรักษาโรคต่างๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตรงไหนที่มีเส้นเลือดหมอ IR ไปได้หมด หมอIRเก่งมากเพราะใช้สายสวนเล็กเท่ากับเส้นด้ายสอดลงไปในเส้นเลือด จะค่อยๆประคองสายสวนให้ถึงจุดเป้าหมายที่มีรอยเลือดออก นอกจากเข้าไปในทางเส้นเลือดหมอIR สามารถใช้เข็มหรือวัสดุต่างๆที่สามารถผ่านผิวหนังแผลจากการักษาด้วย IR แต่เท่ารูเข็ม จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ ที่ศิริราชคนไข้ที่ใช้สิทธิแล้วรักษาไม่ไหวแต่ถ้าจำเป็นต้องรักษาด้วยIR ค่าใช้จ่ายที่เกินมารพ.สนับสนุนหมด เราเน้นให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษา เพราะเราเป็นโรงพยาบาลของแผ่นดิน ศิริราชมีโครงการต่างๆที่จะซัพพอร์ตคนไข้เหล่านี้”รศ.นพ.ยงยุทธ กล่าว
รศ.นพ.ยงยุทธ บอกว่า หมอIRทำให้ศัลยแพทย์ทำงานง่ายขึ้นเพราะกระบวนการรักษาทำเป็นสหวิชาชีพ เมื่อผู้ป่วยเกิดภาวะสโตรก ระหว่างที่รถพยาบาลวิ่งมาบนรถสามารถทำซีทีแกสน หมอIR ดูภาพซีทีแสกน สามารถวางแผน ร่วมรักษากับหมออายุรกรรม หมอสมองได้เลย แต่ละเคสต่างกันอาจเข้าไปอุด บล๊อก ลาก ลิ่มเลือด การรักษาในลักษณะนี้ไม่ใช้อยู่ในขั้นตอนของการวิจัย แต่เป็นการรักษาที่ได้มาตรฐานแล้ว
“ปัจจุบันศิริราชพยาบาลมีทีม IR เป็นทีมที่เป็นวิทยากร ไปสอน อยากสื่อสารไปถึงทุกคนว่าหมอIRช่วยชีวิตท่านได้ในยามวิกฤต หลายคนอาจรู้จักหมอผ่าตัด หมออายุรกรรมแต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังพระเอกที่แท้จริงคือIR ในฐานะหมอผ่าตัดเปลี่ยนตับเปลี่ยนไต เชื่อว่าคุณภาพชีวิตในการฟื้นตัวสำคัญเพราะหลายคนเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว เราจะไม่ต่อรองหรือลดหย่อนในการรักษา ศิริราชเราคิดเช่นนี้ถ้าไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ผลดีเราไม่ทำ”ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าว

**สังคมสูงวัยสมบูรณ์หมอIRจำเป็น
แม้หมอ IR จะทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินและมีโอกาสรอดชีวิตสูง แต่หมอ IR และศูนย์IR ปัจจุบันมีแต่เฉพาะโรงพยาบาลในกรุงเทพฯและโรงพยาบาลในภูมิภาคไม่กี่แห่ง เพราะไม่เพียงมีทีมแพทย์IR รพ.จะต้องลงทุนเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ซึ่งราคาขั้นต่ำประมาณ 50 ล้านบาท
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว และการที่ให้ผู้สูงอายุเข้ารับการผ่าตัดทำได้ยากมากขึ้น ปัจจุบันการรักษาไม่ว่าจะสาขาไหน จะทำให้ผู้ป่วยได้รับการบาดเจ็บน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นการรักษาด้วยIR จะมีบทบาทมากขึ้นในการเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์ของประเทศไทย ดังนั้นจึงอยากเห็นการกระจายตัวของหมอIRในประเทศไทยในทุกภาค ภาครัฐต้องสนับสนุนการกระจายตัวของหมอIR ในประเทศสหรัฐการรักษาด้วยหมอIRเป็นกราฟที่สูงขึ้น แต่ในประเทศไทยเป็นช่วงเริ่มต้น ขณะนี้บางรพ.รัฐส่งหมอมาเรียน แต่เมื่อหมอกลับไปถึงเครื่องมือไม่มา งบประมาณตั้งไว้แต่ไม่ได้ดำเนินการ ถ้าเป็นเช่นนี้หลายๆปีบุคลากรก็ลาออก อาจเกิดเหตุรั่วไหลของบุคลากรเป็นเรื่องที่น่าเศร้า จึงขอเป็นแรงผลักดันให้เกิดตรงส่วนนี้ ศิริราชในฐานะเป็นเทรนนิ่งเซ็นเตอร์หมอIR เราต้องพยายามให้คนทุกคนเข้าถึงการรักษาแบบIR
อ.นพ.บุญฤกษ์ แสงเพชรงาม ประธานศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าในการจัดงาน กิจกรรม“SiCOE Forum 2025 x SDGs” ณ ศาลาศิริราช ๑๐๐ ปี โรงพยาบาลศิริราชที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นกิจกรรมประจำปีนำความก้าวหน้า ในเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการแพทย์ผสมผสานเทคนิคการผ่าตัดที่มีความทันสมัยในการและเป็นครั้งแรก ในการเปิด “นวัตกรรมของหมอไออาร์ (IR ) เพื่อลดภาระของผู้ป่วย “ปัจจุบัน วิธีทางรังสีร่วมรักษา หรือ IR ได้ก้าวมาเป็นทางเลือกการรักษายุคใหม่ที่เข้ามาปฏิวัติวงการแพทย์ ด้วยจุดเด่นของการรักษาที่ “แม่นยำ ฟื้นไว ไร้แผล” ”

**แพทย์IRทั่วประเทศมี140 คน
อ.นพ.บุญฤกษ์ กล่าวว่า IRเป็นเทคนิคการรักษาด้วยการใช้ “ภาพนำทาง” ทางการแพทย์ เช่น เอกซเรย์ (X-ray), เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan), คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI), และอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นตัวนำทางในการรักษา โดยแพทย์จะสอดใส่อุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น สายสวน (catheter) ,ลวดนำทาง (guidewire) ,เข็มเจาะ (needle) เข้าไปในร่างกายผ่านทางหลอดเลือดหรือผิวหนังเพื่อทำการรักษาโรคที่บริเวณนั้นๆ
ภาพนำทางถือเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาด้วยรังสีร่วมรักษาทำให้แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งของโรคได้อย่างชัดเจน และวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ การเลือกใช้ภาพนำทางชนิดใดนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละกรณี เช่น อัลตราซาวด์เหมาะกับการรักษาที่อยู่ตื้นๆ ใกล้ผิวหนัง ส่วน CT Scan ช่วยให้มองเห็นอวัยวะภายในและวางแผนการรักษาที่ซับซ้อนได้
ปัจจุบันการรักษาด้วยรังสีร่วมรักษา (IR) ได้ก้าวมาบทบาทเป็นทางเลือกใหม่ของการรักษาโรคต่างๆ ครอบคลุมตั้งแต่โรคทางระบบประสาทไปจนถึงโรคทางระบบลำตัว อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke), การจี้รักษาเนื้องอกและมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด, มะเร็งไต, ต่อมไทรอยด์โต
นอกจากนี้ ยังเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคต่างๆมากมาย อาทิเช่น การรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยวิธีอุดหลอดเลือด (Prostate artery embolization หรือ PAE), การรักษาเนื้องอกมดลูกโดยการอุดหลอดเลือด (Uterine artery Embolization) การรักษาข้อเข่าเสื่อมโดยวิธีอุดหลอดเลือดเพื่อลดอาการปวด (Genicular artery embolization หรือ GAE), การรักษาเนื้องอกต่อมไทรอยด์โดยการจี้ด้วยความร้อน , การอุดหลอดเลือดในภาวะเลือดออกจากอุบัติเหตุ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม แม้การรักษาด้วยรังสีร่วมรักษา (IR) จะมีประโยชน์มากมาย แต่แพทย์สาขานี้ไม่มากนัก ศูนย์ IR ส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในเมือง อีกทั้งยังมีบุคลากรทางการแพทย์ด้านรังสีร่วมรักษา หรือ“หมอ IR”จำนวนจำกัด จำนวนแพทย์ IR ด้านระบบลำตัวทั่วประเทศมีเพียง 140 คน

**รักษาด้วยIR ลดความเหลื่อมล้ำ
ศ.คลินิก พญ.อัญชลี ชูโรจน์ ผู้ก่อตั้งศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช กล่าวว่า ศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช เป็น 1 ใน 19 ศูนย์ความเป็นเลิศ (SiCOE) ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้บริการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรคด้วยวิธีการทางรังสีร่วมรักษา แบ่งเป็น 2 ระบบ ได้แก่ 1. ระบบประสาทและไขสันหลัง (Interventional Neuroradiology) 2. ระบบลำตัว (Body Interventional Radiology) อีกทั้งยังมีบทบาทในการการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางรังสีร่วมรักษาด้วยหลักสูตรที่ได้การรับรองจากแพทยสภา การรักษาด้วยหมอIR ผู้ป่วยจะมีความเจ็บปวดน้อยกว่า เพราะการใช้สายสวนสอดเข้าไปในเส้นเลือดจะไม่เจ็บ เพราะในเส้นเลือดไม่มีเส้นประสาท บางกรณีรักษาโดยไม่ต้องวางยาสลบ
นอกเหนือจากการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการผลักดันให้รังสีร่วมรักษาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการสนับสนุนด้านงบประมาณ ขยายศักยภาพการรักษาด้วย IR สู่ผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษา ช่วยลดภาระผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางเข้ามารับการรักษาในเมือง

ศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช (Siriraj Center of Interventional Radiology : SiCIR ) เป็น 1 ใน 19 ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ศิริราช จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2560 ภายใต้การกำกับของโรงพยาบาลศิริราช โดยมีบทบาทในการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการทางรังสีร่วมรักษา และเป็นสถาบันผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีร่วมรักษาด้วยหลักสูตรที่ได้การรับรองจากแพทยสภา
ทั้งนี้ การรักษาด้วยวิธีทางรังสีร่วมรักษาในประเทศไทย ได้เริ่มวางรากฐานและขับเคลื่อนพัฒนาต่อเนื่องโดย ศ.เกียรติคุณ นพ.นรา แววศร ผู้ก่อตั้งหน่วยรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ภายใต้สังกัดสาขาวิชารังสีวินิจฉัย ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กระทั่งต่อมาในวันที่ 6 มิถุนายน 2560 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช” อย่างเป็นทางการ ยกระดับขึ้นเป็น 1 ใน 19 ศูนย์ความเป็นเลิศ (SiCOE) ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
/–/-/-/