เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ที่ศาลแพ่ง น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด แกนนำม็อบคณะราษฎร พร้อม นางอังคณา นีละไพจิตร ตัวแทนกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสลายม็อบที่หน้าอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 17 พ.ย.63 รวม 9 คน มายื่นฟ้องทางแพ่งกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ต่อเสรีภาพการชุมนุม และสิทธิในชีวิตและร่างกาย ค่ารักษาพยาบาล รวม 3,020,147 บาท และขอให้กำหนดมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจปิดกั้นขัดขวาง และใช้กำลังสลายการชุมนุมโดยไม่เป็นไปตามกฎหมายการชุมนุมสาธารณะและหลักสากล
   

นางอังคณา ตัวแทนกลุ่มปกป้องสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า มาฟ้อง ตร. และ ผบ.ตร. กรณีใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งมองว่า เหตุการณ์ขณะนั้นยังไม่มีผู้ชุมนุม และยังมีสัญจรไปมาตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่ใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูง ทำให้ประชาชนในบริเวณนั้นได้รับผลกระทบ และถือเป็นการสลายการชุมนุมตั้งแต่ยังไม่ใช่เวลานัดหมายชุมนุม ซึ่งผู้ฟ้องคดีทั้งหมดได้รับบาดเจ็บรวม 9 ราย จึงมาขอความเป็นธรรม โดยค่าเสียหายทั้งหมด เฉลี่ยคนประมาณ 3 แสนบาท และมีผู้เสียหาย 1 ราย ที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด เรียกค่าเสียหายกว่า 4 แสนบาท โดยได้นำหลักฐานเป็นภาพถ่ายมาและมีใบรับรองแพทย์ แนบมาด้วย

ด้าน น.ส.ชลธิชา หรือ ลูกเกด หนึ่งในแกนนำผู้ชุมนุม เปิดเผยว่า ช่วงเวลาดังกล่าว มีประชุมสภา และยังไม่ได้เริ่มมีชุมนุม แต่ตำรวจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ทั้งการตั้งแนวรั้วกันพื้นที่ การใช้น้ำแรงดันสูงสลายการชุมนุม ซึ่งการกระทำดังกล่าวมองว่า ผิดหลักสากล และผิดต่อหลักกฎหมาย และในวันดังกล่าวไม่ได้มีการแจ้งหรือเจรจา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความรุนแรง ทำให้มีทั้งผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และบาดเจ็บสาหัส โดยการฟ้องในวันนี้จะเป็นการเรียกค่าใช้จ่ายการได้รับบาดเจ็บ และค่าเสียหายที่ถูกละเมิดสิทธิการเดินทาง รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกขัดขว้างการใช้สิทธิและเสรีภาพ เพราะมองว่าการที่ตำรวจตั้งเครื่องกีดขวางการใช้สิทธิในการชุมนุมนั้นความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามก่อนชุมนุมเราได้แจ้งการชุมนุมแล้ว และจากเหตุการณ์ดังกล่าวตนเองกับผู้ชุมนุมประมาณ 6 คน ถูกดำเนินคดีข้อหา พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ  ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นพนักงานอัยการว่าจะฟ้องหรือไม่

ขณะที่ นายอัมรินทร์ สายจันทร์ ทนายความ กล่าวว่า การมายื่นฟ้องเพื่อยืนยันว่า การขีดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพการชุมนุมจะต้องได้รับการตรวจสอบจากกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ได้รับการเยียวยา และเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดการขัดขวางการชุมนุมเกิดขึ้นอีก อีกทั้งคาดหวังว่าคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้กับกรณีต่างๆ ซึ่งในวันนี้จะขอให้ศาลกำหนดมาตรการว่าต่อไปจะต้องไม่มีการใช้กำลังเข้ามาควบคุมดูแลการชุมนุมสาธารณะอีก และ ตร. จะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โดยยืนยันว่า การชุมนุมในวันที่ 17 พ.ย.63 เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และคดีนี้เคยได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง แต่ศาลปกครองกลางไม่รับฟ้อง จึงอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ทำให้ตัดสินใจถอนฟ้อง เพราะมองว่ามีความคลุมเครือของเขตอำนาจศาล และมายื่นศาลแพ่งแทน เพราะทางอายุความการจะยื่นฟ้องคดีใหม่ต่อศาลยุติธรรมจะต้องยื่นฟ้องภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวันที่เกิดเหตุ

ทั้งนี้ศาลแพ่งได้รับคำฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ.5341/2564 และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกวันที่ 8 ก.พ.65 เวลา 09.00 น. ต่อไป