เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 13 พ.ค. ที่อาคารบูรณมงคล มทร.สุวรรณภูมิ ศูนย์พระนครศรีอยุธยา หันตรา นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ประธานคณะทำงาน รมว.อว. รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ รองผ.อ. สกสว. ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว และคณะลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการ “อววน.” หรือ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพื้นที่ ในจ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่รัฐบาลตั้งใจใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสังคมนวัตกรรมในระดับชุมชนอย่างแท้จริง จากทุนวัฒนธรรม สู่พลังเศรษฐกิจชุมชน โดยมีนายวัชระ กระแสร์ฉัตร์ รองผวจ.พระนครศรีอยุธยา ศ.พิเศษ ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม นายกสภา มทร.สุวรรณภูมิ รศ.ดร.ประมุข อุณหเลขกะ อธิการบดี มทร.สุวรรณภูมิ นายชัยรัตน์ บุญส่ง พาณิชย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ

นายศุภชัย กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของโครงการว่า กระทรวงมุ่งหวังจะเห็น องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีทุนทางวัฒนธรรม วิถีชุมชน เกษตรกรรม และความหลากหลายทางศาสนา ที่สามารถต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน หนึ่งในโครงการที่เป็นรูปธรรมคือ “แพะกรุงศรี Heart of Halal” ที่นำองค์ความรู้ด้านการผลิตและมาตรฐานฮาลาลมาผสานกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ตั้งแต่การเลี้ยงแพะ การแปรรูป การสร้างแบรนด์ ไปจนถึงการจัดการเรียนรู้ภายในชุมชน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่น

รองศาสตราจารย์ ดร.ประมุข กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ทำหน้าที่เป็น “อว.ส่วนหน้า” ที่ประจำการในพื้นที่ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนในฐานะ “พี่เลี้ยงระยะยาว”ไม่ใช่แค่ผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ร่วมคิด ร่วมออกแบบ และร่วมทำงานในทุกขั้นตอน โดยใช้การวิจัย เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนมนุษย์ของพื้นที่อย่างต่อเนื่องและในมุมมองของ ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงส่งผลต่อชุมชนเท่านั้น แต่ยังทำให้มหาวิทยาลัยเองก้าวไปอีกขั้น จากสถาบันการศึกษาสู่กลไกสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เกิดการเรียนรู้แบบสองทางที่ทั้งนักวิชาการและประชาชนในพื้นที่ต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน

พญ.เพชรดาว กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจสำคัญของความยั่งยืนคือการสร้าง “เจ้าของร่วม (Co-Ownership)” ผ่านโครงสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน โดยเฉพาะการเสริมพลังให้กับ “ผู้นำชุมชน” และ “กลุ่มอาชีพ” ให้สามารถเป็นผู้นำการพัฒนาได้ด้วยตนเอง ในระยะยาว กระทรวง อว. ยังเตรียมเชื่อมโยงแผนกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานด้านแรงงาน เพื่อจัดตั้ง “Platform กลาง” ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาร่วมลงทุน ออกแบบ และวัดผลร่วมกัน ทำให้โครงการไม่ขึ้นกับงบประมาณรัฐเท่านั้น แต่มีความต่อเนื่องด้วยพลังในพื้นที่

ขณะที่ นายวัชระ เน้นย้ำว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคประชาชนไม่ได้มีบทบาทเพียงผู้รับผลประโยชน์ แต่เป็น “ผู้ร่วมสร้าง” ตั้งแต่การตั้งโจทย์ไปจนถึงการขับเคลื่อนกิจกรรม เช่น กลุ่มเลี้ยงแพะฮาลาล กลุ่มผลิตสมุนไพร หรือกลุ่มครูชุมชนที่พัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงโมเดลใหม่ของการพัฒนาจังหวัด ที่ไม่ใช่เพียงการรับนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้น แต่เป็นการ ร่วมออกแบบอนาคตร่วมกันกับภาควิชาการและประชาชน จากอยุธยา สู่โมเดลระดับชาติ กระทรวง อว. เตรียมนำผลลัพธ์จากการดำเนินงานในจ.พระนครศรีอยุธยาไปขยายผลในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาหลักสูตรอุดมศึกษาเพื่อท้องถิ่น หรือโมเดลเศรษฐกิจฮาลาลที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่มุสลิมอื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่เกิดจากฐานราก ไม่ใช่เพียงนโยบายจากส่วนบน

นายศุภชัย สรุปว่า งานด้าน อววน. เป็น “กลไกกลางของการเปลี่ยนแปลง” ที่ทำให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ากับโจทย์ของพื้นที่จริง เสริมพลังให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ สร้างเศรษฐกิจฐานราก และสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย “พระนครศรีอยุธยาในวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่เมืองมรดกโลกในอดีต แต่กำลังกลายเป็นต้นแบบของเมืองนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยทุนวัฒนธรรม เทคโนโลยี และพลังของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง”