ยังคงประเด็นที่ชาวเน็ตให้ความสนใจหนักมาก หลังมีข่าวลือพูดถึงพระเอกไม่ยอมแต่งงานกับนางเอก เพราะมีโลกสองใบ ทำเอาหลายคนต่างพากันพุ่งเป้าไปที่คู่ของ “ณเดชน์ คูกิมิยะ”“ญาญ่า อุรัสยา” และ “ไผ่ พาทิศ”“น้ำตาล พิจักขณา” ซึ่งต่อมาทางณเดชน์-ญาญ่าได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่คู่ตนแน่นอน ทางด้านคู่ของน้ำตาล-ไผ่ จึงถูกเพ่งเล็งหนักขึ้น

โดยหลังเกิดกระแสข่าวลือมากมาย น้ำตาล พิจักขณา ได้ลงสตอรี่ขณะทานข้าวกับ ไผ่ พาทิศ และได้หยอกล้อถามถึงปมโลก 2 ใบกับหนุ่มไผ่ ตามที่ข่าวได้เคยนำเสนอไปแล้วนั้น ซึ่งล่าสุดในงานแถลงข่าวเปิดตัวละครใหม่ 3 เรื่องกับช่อง3 Funทะลุกล่อง น้ำตาลได้ยืนยันเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอีกครั้งว่า

“สำหรับเรื่องโลกสองใบที่ออกมาอัดคลิป คือวันนั้นโชคดีมากที่ตาไผ่ออกมากินข้าวด้วยกัน ก็ไปกินข้าวกับเพื่อนที่โรงแรมพอดี นั่งกินกันอยู่ อยู่ดีๆ ก็มีคนโทรฯ เข้ามาของพี่ไผ่ ของเราก็มีผู้จัดการโทรฯ มา คนก็ตามหาผู้จัดการกันใหญ่คือเขาพูดแล้วว่าเป็นน้ำตาลกับไผ่ ตาลก็ห้ะ ซึ่งวงก็แตกตั้งแต่ตอนนั้น แล้ววันนั้นไปกินบุฟเฟ่ต์กับติ่มซำ ติ่มซำแทบปลิว ได้ยินครั้งแรกแวบแรกคือคิดว่าถ้าเป็นตาไผ่จริงๆ คือเก่งมากเลยนะ แต่ตอนนั้นเรายังขำๆ อยู่คิดว่าไม่ใช่ พอหลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน “แจ๊คกี้” เพื่อนสนิท ก็โทรฯ มาว่า xงเขาว่าน่าจะเป็นxงเนี่ย เราก็เลยถามว่าxงไปฟังใครมา แจ๊คกี้ก็บอกต่อว่าเขาบอกว่าเป็นxงเลย เราก็เลยบอกว่าไม่ใช่หรอก เพื่อนเราก็บอกว่า แกทุกคนก็มั่นใจกันแบบนี้ว่าไม่ใช่เรา หรือว่าจะซัก 1% ดีที่เราทำใจไว้ก่อน เราก็เริ่มมีไฟสุมในอก พอพี่ไผ่กลับมาเราก็ลองมาคุยกัน เพราะมีหลายคนพูดกันหลากหลาย ด้วยความที่บอกว่าไม่ใช่เลย มันก็จะแบบโอเค ซึ่งบางคนเขาระบุ แล้วประเด็นคือแม่ดิฉันก็เป็นคนใส่ใจโซเชียลมาก แล้วทุกคนก็ไปถามแม่ เราก็เลยบอกว่าไม่ใช่ พอโดนถามเยอะเข้ามันกล่อมประสาท หรือว่าใช่”

ก็เลยยกหูหาตาไผ่ ตาไผ่ก็บอกว่าไม่มี แล้วที่ตาลบอกว่าถ้ามีก็เก่งเกินเพราะว่าเรามีรหัสกันหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างตาลก็มีรหัสของเขา เขาก็มีรหัสของตาล ไม่ใช่เราไม่ไว้ใจกัน บางทีตาลลืมมือถือมาก็เลยยืมของพี่เขาล็อกอิน แต่จุดประเด็นเริ่มต้นจากที่ตาไผ่ลืมก่อน เขาก็เลยมาล็อกอินในเครื่องเรา เราก็ไม่ยอมลบ ตาไผ่ก็เลยบอกว่างั้นไม่ลบก็ได้ งั้นเอาของเธอมา ก็เลยซวยจนถึงทุกวันนี้ (ภาษาเหนือ) ซึ่งตอนที่โทรฯ หาพี่ไผ่เขาก็อธิบายว่าไม่มีจริงๆ คือจะไปมีได้ยังไง ก็อย่างที่บอกคือเราเห็นการใช้ชีวิตของเขา ดังนั้นถ้าจะมีกิ๊กสักคน มันต้องเก่งมาก คือต้องอยู่ในน้ำหรือไม่ก็อยู่ในป่าหรือไม่ก็อยู่บนเขา เพราะว่าด้วยความที่เราเคยไปออกทริปด้วยกัน ลองใช้ชีวิตในการนั่งเรือไปในป่ากับเขา คือมันมีความรู้สึกว่า “เอาเต๊อะ”

น้ำตาลเผยต่อว่า “คือเรื่องนี้เรามองเป็นเรื่องตลกมากกว่าว่า วนมาถึงคู่เราได้อย่างไร แต่ว่าด้วยความที่คำใบ้หลายๆ อย่างชี้มาทางนี้ แล้วหลายคนพออ่านก็เกิดความสงสัย ดังนั้นพอมีคนโน้นมาถามคนนี้มาถาม มันก็เลยเหนื่อยกับการที่จะอธิบายให้คนอื่นฟังมากกว่า แล้วมันเริ่มโดนกล่อมหรือว่าจะใช่หรือว่าจะเหลือไว้ซัก 1% เพราะบางคนก็บอกว่าใช่แน่ๆ เพราะเกิดข่าวขึ้นมา มันก็ไม่ได้มีความหวาดระแวงเกิดขึ้น คืออย่างที่บอกว่าพอเคลียร์กันจบไปแล้วเราก็จบ คือเขาไม่ได้มีท่าทีให้เราระแวง อยากจะกรี๊ดถึงขั้นพูดว่า ถ้าเป็นพี่ไผ่จริงๆ คือยอมไม่มีแฟนแล้ว คือพี่ไผ่ให้ความไว้ใจ และให้พื้นที่เราเต็มที่ เราอยากจะดูอะไร อยากจะเห็นอะไรคือเรามีทุกอย่าง ยกเว้นบัตรเครดิตเขา (หัวเราะ)”

“แล้วด้วยข่าวด้วยอะไรก็แล้วแต่เรามีความรู้สึกว่าเริ่มแรกเราไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นเรา และที่สำคัญระยะเวลาที่ผ่านมาซึ่งปีนี้ก็จะ 13 ปีแล้ว เรามีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่มันไม่ดี มีแต่จะดีขึ้น อีกนิดนึงก็คือตอนนี้เริ่มถอยหลังจากสิ่งเร้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยว ซึ่งช่วงตอนคบกันแรกๆ ก็จะมีไปเที่ยวไปปาร์ตี้ด้วยกันบ้าง อย่างแจ๊คกี้อยากตีซี้กับแฟนเราก็คือต้องเข้าป่าไปดูน้ำตกด้วย ดังนั้นมันเลยไม่มีจุดเสี่ยงหรือว่ามีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเอ๊ะ คือถ้ามันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราย้อนคิดกลับไป เพราะมันมีข่าวเราจะต้องอ๋อวันนั้นแน่เลย วันนี้แน่เลย มันก็จะเป็นอีกแบบนึง ซึ่งมันไม่มีแต่ถ้าทำให้มันมีก็เกิดจากเราเองนี่แหละ แล้วสังคมก็รุมเร้าอยากได้คำตอบแล้วก็ไปคาดคั้นกับเขา พี่ไผ่ก็ตอบกับคนอื่นว่าพี่ไม่มี แล้วดีนะที่เขาอยู่กรุงเทพฯ ถ้าเขาอยู่ในป่าเขาคงรับโทรศัพท์ไม่ได้”

น้ำตาล พูดต่อว่า “ถ้าสมมุติว่าวันนึงมันเกิดปัญหาโลกสองใบขึ้นมาจริงๆ ทุกคนต้องไปเยี่ยมหนู เพราะเคยคุยกับแจ๊คกี้ว่า ถ้าเป็นพี่ไผ่จริงๆ ฉันคงช็อก ช็อกไปเลย แจ๊คกี้ก็บอกว่าไม่เป็นไรxงข้างๆx ก็คงจะเป็นแบบนั้นเพราะว่าไม่มีกลิ่นไม่มีเค้าไม่มีโครง ไม่มีอะไรเลย ซึ่งทุกๆ คนก็บอกว่าก็นั่นแหละทุกๆ คนก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่ถ้าในมุมมองของผู้หญิง ตาลมองว่า คือการไม่ให้เกียรติคนรักกัน คือถ้าวันนึงความสัมพันธ์มันจะไปต่อไม่ได้แล้วคนที่ควรจะรู้คนแรก ก็คือคนที่คบอยู่ ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าความรักของเรามันไม่เหมือนเดิม ฉันไม่ได้มองเธอเหมือนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว และรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ในฐานะแฟน หรือไปสู่อนาคตไม่ได้แล้ว คนที่คนรู้เป็นคนแรกก็คือแฟนเรา ดังนั้นเวลารักกันก็ต้องให้เกียรติคนที่เรารัก เพราะว่าคนคนนั้นเขาไม่ได้ผิด ถ้าเขาจะผิดก็ผิดที่ไปด้วยกันไม่ได้ หรือว่าเรามองมุมในเรื่องความรัก หรือว่าเส้นทางที่มันไปต่อด้วยกันไม่ได้ ดังนั้นต้องให้เกียรติคนที่เรารักมากที่สุด”

“สำหรับความรักของเราเดินทางมาแล้ว 13 ปี ถามว่ามีแววแต่งงานไหม ก็ไม่นาน รอเค้าพูด ส่วนแหวนที่ใส่มาวันนี้คือมันใส่นิ้วอื่นไม่ได้ก็เลยต้องใส่นิ้วนางข้างซ้าย แต่ถ้าเขาซื้อแหวนมาใส่ให้เรา เราก็ถอดอันนี้ทิ้งไปเลย ก็รอดูว่ามันจะเป็นยังไง ถามว่ารู้สึกยังไงคนเชียร์คู่เราเยอะมาก ซึ่งเราก็เชียร์ตัวเองอยู่ ทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่คนอื่นเชียร์เราหรอก เราก็เชียร์ตัวเราเองอยู่ เพราะอายุได้แล้วพ่อกับแม่ก็ไม่ว่าหรอก“