เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 68 แฟนเพจ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ได้ออกมาเล่าเคสของเด็กนักเรียนรายหนึ่ง ที่จมน้ำในสระว่ายน้ำของโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยเด็กหมดสติและหัวใจหยุดเต้น เบื้องต้นคุณครูที่อยู่บริเวณสระสังเกตเห็นเหตุการณ์ได้ภายใน 7 วินาที ก่อนรีบเข้าช่วยขึ้นจากน้ำและทำ CPR ร่วมกับเจ้าหน้าที่ life guard อย่างมีสติและถูกต้องตามขั้นตอน จนกระทั่งเด็กถูกนำส่งห้องฉุกเฉินโดยด่วน และเมื่อถึงโรงพยาบาลก็สามารถหายใจเองได้ ไม่ต้องใส่ท่อ ไม่ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจ แม้มีภาวะออกซิเจนต่ำและมีเลือดในปอด แต่ถือว่าฟื้นตัว “เกินคาด” และแพทย์เผยว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่โชคช่วย แต่เกิดจากการเตรียมพร้อม ความรู้ และการลงมือช่วยเหลืออย่างถูกวิธีภายในไม่กี่วินาที ซึ่งช่วยชีวิตเด็กไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

โดยเพจหมอม็อด หมอเด็กขอเล่า ระบุข้อความว่า “7 วินาทีที่เปลี่ยนชะตาชีวิตเด็ก จากการจมน้ำสู่การรอดอย่างปาฏิหาริย์ เคสนี้อยากเล่าให้ทุกคนฟัง เพราะการจมน้ำในเด็กเป็นเหตุการณ์ที่สามารถป้องกันได้ และการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และทันท่วงทีในไม่กี่วินาทีสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้ วันนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากห้องฉุกเฉินว่า “มีเด็กนักเรียนจมน้ำในสระว่ายน้ำ และหัวใจหยุดเต้น คุณครูช่วยขึ้นจากน้ำ ได้ทำการ CPR เบื้องต้น ตอนนี้รถโรงพยาบาลกำลังพาตัวมาที่ห้องฉุกเฉิน” ในฐานะแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤติแค่ได้ยินคำว่า “จมน้ำ” ก็รู้สึกวิตกและเครียดขึ้นมาทันที เพราะเคสลักษณะนี้หลายครั้ง จบลงด้วยภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น แต่ครั้งนี้ไม่เป็นแบบนั้น”

นอกจากนี้ “เด็กมาถึงห้องฉุกเฉินในสภาพรู้สึกตัวดี หายใจเองได้ ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ต้องใช้ยากระตุ้นหัวใจมีออกซิเจนต่ำและพบเลือดในปอดจากการขาดอากาศขณะจมน้ำ แต่โดยรวมถือว่าอาการ “ดีเกินคาด” เมื่อได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดจากทางโรงเรียนก็เข้าใจทันทีว่าอะไรคือจุดเปลี่ยน เด็กคนนี้จมน้ำเพียง 7 วินาที ก่อนที่ครูจะสังเกตเห็น และรีบเข้าไปช่วย พอช่วยขึ้นมาแล้ว life guard ก็มีสติชัดเจน”

“ทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง ทั้งตรวจชีพจร ช่วยหายใจ และเริ่มกดหน้าอก จนเด็กฟื้นตัวขึ้นมา ทุกขั้นตอนนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก แต่ถูกต้องและมีคุณภาพ ผมบอกกับพ่อแม่ว่า ผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เพราะคนที่อยู่ข้างสระวันนั้น รู้ว่าต้องทำอะไรและลงมือทันที หมออยากขอชื่นชมทั้งคุณครูที่จับสังเกตได้ไว และ life guard ที่มีความรู้ ความพร้อมและควบคุมสติตัวเองได้ดีเยี่ยมเพราะหากล่าช้าไปอีกแค่ไม่กี่วินาที หรือใครสักคนตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เด็กคนนี้อาจไม่รอด หรืออาจรอดแต่ต้องอยู่กับภาวะแทรกซ้อนทางสมองไปตลอดชีวิต”

อีกทั้ง ข้อเท็จจริงที่หลายคนอาจไม่รู้เกี่ยวกับการจมน้ำในเด็ก รู้ไหมครับว่าเด็กไทยอายุ<15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ยปีละ 800 กว่ารายหรือเฉลี่ยวันละ 2 คน แล้วเราจะป้องกันการจมน้ำในเด็กได้อย่างไร
1. ห้ามปล่อยเด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล โดยเฉพาะเด็กเล็กต้องไม่ละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว
2. บ้านที่มีสระว่ายน้ำ ควรติดตั้งรั้วกั้นที่สามารถป้องกันเด็กเข้าไปได้โดยลำพัง
3. สอนให้เด็กว่ายน้ำเป็น (ตามวัยที่เหมาะสม) โดยเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไป สามารถเริ่มฝึกให้คุ้นกับน้ำร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ พอเด็กอายุ 4 ขวบถึงจะพร้อมฝึกทักษะเอาตัวรอดในน้ำ เช่น ลอยตัว ตีขา หรือว่ายกลับขอบสระ ตามคำแนะนำของสมาคมกุมารแพทย์แห่งอเมริกา – AAP
4. แม้เด็กว่ายน้ำเป็นแล้ว แต่ในสระที่เราพาลูกไปก็ควรมีการดูแลความปลอดภัยเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ซึ่งได้แก่ มี life guard ที่พร้อมช่วยเหลือเด็กที่จมน้ำ มีเครื่อง AED ในบริเวณสระ
5. ใครชอบพาลูกไปสระว่ายน้ำในโรงแรม, น้ำตก หรือทะเล เพราะสถานที่เหล่านี้ อาจไม่มีมาตรการดูแลความปลอดภัย และผู้ปกครองต้องไม่ละสายตาออกจากลูกเป็นอันขาด
6. ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น (basic life support) เพราะในวินาทีฉุกเฉิน การช่วยอย่างถูกต้องแต่แรกสามารถช่วยชีวิตลูกได้ การจมน้ำในเด็กสามารถเกิดได้เร็ว เงียบ และไม่มีสัญญาณเตือน แค่ไม่กี่วินาทีอาจเปลี่ยนชีวิตเด็กคนนึงทุกอย่างไปตลอดกาล

ขอบคุณข้อมูล : หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า