ยังเป็นประเด็นร้อนอย่างต่อเนื่อง กับการตรวจสอบปม “ฮั้ว สว.” หลังเริ่มมีข่าว “พรรคภูมิใจไทย (ภท.)” เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว จากนั้นก็เริ่มฟ้องกันไปมา ระหว่างผู้ร้องกับผู้ถูกร้อง หลายคนเริ่มเรียกร้องให้ผู้ที่อ้างว่ามีหลักฐานเปิดเผยข้อมูลกับสาธารณะ เพราะในเมื่อมั่นใจว่าหลักฐานมีความชัดเจน หากกล้าเปิดเผยออกมา จะทำให้สังคมได้รับรู้ข้อเท็จจริง

ขณะที่ “นายศุภชัย ใจสมุทร” ทีมกฎหมายพรรค ภท. ให้ความเห็นกรณีนายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) วินิจฉัยสมาชิกภาพของ สว. เกี่ยวกับคดีฮั้วเลือก สว. โดยเนื้อหาในคำร้องดังกล่าวพาดพิงถึงพรรค ภท. ว่า ฝ่ายกฎหมายพรรคกำลังพิจารณาดำเนินคดีนายณฐพร ในหลายข้อกล่าวหาที่ทำให้หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ได้รับความเสียหาย  เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิ ไม่สุจริต มีวาระซ้อน แบ่งหน้าที่กันทำเป็นกระบวนการ รับงานกันเพื่อมาทำลายพรรค หรือไม่ โดยเฉพาะข้อมูลและพยานหลักฐาน ที่นายณฐพร อ้างว่าได้รับมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ กกต. อยากถามว่าได้มาได้อย่างไร และจะใช้เป็นหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 

ขณะที่ความเห็นนักวิชาการอย่าง “รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นถึงเรื่องปัญหาที่มาของ สว. ว่า พรรค ภท. ถูกกล่าวหาเกี่ยวกับคดีที่มา สว. แต่สังคมเริ่มมีข้อสงสัยว่ากลุ่มที่ยื่นฟ้อง อาจมีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอื่น มีเป้าหมายระยะสั้น คือดิสเครดิตพรรค ภท. ส่วนการยุบพรรคยังเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนมาก แต่มาถึงจุดนี้ ก็นับว่า ทำได้ตามเป้า อย่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องก็ต้องตอบสังคมให้ได้ในหลายประเด็น ดังนี้ 1.ความน่าเชื่อถือของผู้ร้อง เพราะหลายคนมีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับการเมือง อาจมีแรงจูงใจซ่อนเร้น ที่มากไปกว่าหลักฐานในมือ 2.ข้อกล่าวหาบิดเบือน หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าข้อมูลเป็นความจริง คดีอาจถูกยกฟ้อง และผู้ร้องเสียเครดิต ไปจนถึงต้องสู้ทางกฎหมาย ในฐานะผู้ถูกร้องเรียนบ้าง

3.ผลกระทบทางภาพลักษณ์ คดีถูกใช้สร้างกระแสสื่อ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพรรค ภท. เป็นหลัก จนถูกมองว่า เป็นคดีการเมืองมากกว่าจะมุ่งเอาผิดกันจริงๆ 4.ความเสี่ยงต่อการยุบพรรค อันนี้เป็นเป้าที่ยากจะเกิดขึ้นจริง เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีหลักฐานว่าพรรค ภท. ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจนจึงจะนำไปสู่การยุบพรรคได้ ซึ่งตอนนี้ เรายังไม่เห็นหลักฐานชัดๆ ในคดีนี้ มีแต่เพียงคำกล่าวอ้างผ่านหน้าสื่อเท่านั้น 5.บทบาทองค์กรรัฐ กกต. และดีเอสไอ ถูกจับตาว่าการดำเนินคดีไม่สอดคล้องกัน สร้างความเคลือบแคลงต่อสังคม และ 6.การแทรกแซง คำสั่งศาลให้รัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจสะท้อนการเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

“การฟ้องเรื่องฮั้ว สว. มีการทำกันเป็นขบวนการด้วยการสนับสนุนข้อมูล ซึ่งไม่รู้ว่ามีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นการกล่าวอ้างยังไม่เห็นพยานหลักฐาน ส่วนดีเอสไอก็พยายามประโคมข่าว แต่ไม่เคยชี้มูลความผิดหรือแจ้งดำเนินคดี แค่ต้องการให้ภาพลักษณ์พรรค ภท. เสียหาย ขอให้จับตาดู คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ให้ รมว.ยุติธรรมหยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับดีเอสไอ ชี้ให้เห็นถึงข้อสังเกตเรื่องการแทรกแซงในการดำเนินคดี ว่ามีพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง จนทำให้หน่วยงานตรวจสอบไม่เป็นกลาง” รศ.ดร.โอฬาร ระบุ

ต้องรอดูว่า แต่ละฝ่ายจะนำข้อมูลหลักฐานที่เชื่อมโยงกับ “คดีฮั้ว สว.” มาสร้างความน่าเชื่อถือให้สังคมได้มากขนาดไหน โดยเฉพาะคำถามที่มีต่อ “ดีเอสไอ” ก็เริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ กับข้อสงสัยถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรือไม่

ส่วนการทำหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านนำโดย “พรรคประชาชน (ปชน.)” มีความเข้มข้นอีกครั้ง หลังสภาผู้แทนราษฎรมีคิวพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ระหว่างวันที่ 29-31 พ.ค. ด้าน “นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์” สส.กทม. ในฐานะรองโฆษกพรรค ปชน. ระบุว่า ได้จัดยุทธศาสตร์ไว้เรียบร้อย และเตรียมความพร้อมไว้เลยว่าการอภิปรายงบประมาณฯ วาระหนึ่ง ซึ่งเราก็โปรยสโลแกนไว้แล้วว่ารอบนี้ เราช่วยหาเงินให้รัฐบางด้วยซ้ำ เพราะรัฐบาลมีการวางกรอบวงเงินงบประมาณไว้ไม่สอดคล้องหรือสอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่กรอบวงเงินงบประมาณ และโครงการที่มีการของบประมาณไปแล้วไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างยิ่ง รวมถึงสิ่งที่นายกฯ ได้รับปากไว้กับประชาชน แต่เมื่อเราเปิดดู พ.ร.บ.งบประมาณฯ ก็จะมองไม่เห็นในรายละเอียดที่นายกฯ พูดไว้ นั่นหมายความว่า คำพูดของผู้นำประเทศไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ถ้าอนุมัติตามกรอบวงเงินประมาณปี 69

ส่วนพรรค ปชน. ได้ล็อกเป้าการอภิปรายไปที่กระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐชา กล่าวว่า ล็อกทุกกระทรวง ยิงทุกกระทรวงแน่นอน เพราะในการทำงานเป็นทีม วันนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า พรรคร่วมรัฐบาลก็ทำกันไปคนละทิศคนละทาง เริ่มมีกระบวนการที่จะชิงไหวชิงพริบ ชิงความโดดเด่น เพราะมีสัญญาณที่อาจจะมีการรับรู้ได้ว่า ใกล้จะมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว แต่ละพรรคการเมืองก็จะเริ่มใช้กลไกกระทรวงของตัวเองไปในทิศทางของการหาเสียงล่วงหน้า ดังนั้นในการของบประมาณปี 69 เราก็จะโฟกัสเป็นพิเศษว่าแต่ละพรรคการเมืองพยายามทำอะไรอยู่

ส่วน “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ว่า หลายอย่างที่รัฐบาลพยายามทำให้เป็นเรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น อะไรที่ไม่จำเป็นที่ไม่ควรทำก็อย่าทำ อะไรที่ไม่เดือดร้อนก็อย่าทำ เพราะฉะนั้นอย่าไปมองเพียงงบก่อสร้างอาคารรัฐสภาเท่านั้น ต้องดูทุกตัวของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถรู้ทุกหน่วยงานว่า จะทำอะไรบ้าง บางอย่างเราเห็น บางอย่างเราต้องช่วยกันตรวจสอบ โดยเฉพาะกรรมาธิการ (กมธ.) งบประมาณต้องช่วยกันดูอย่างเต็มที่ และสื่อต้องช่วยติดตาม อะไรที่ไม่จำเป็นต้องช่วยกัน เพราะประเทศชาติบ้านเมืองไม่ใช่ของคณะใดคณะหนึ่ง ช่วยกันดูแลอย่าให้มีการทุจริต หรือนำเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นในขณะนี้

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ขณะที่บ้านเมืองเราต้องการเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจก่อน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่องที่มีความคิดว่าใครดึงเงินเข้าจังหวัดตัวเองได้มาก ได้เก่ง ถ้าในความคิดตนเอง การเอาไปทุกบาททุกสตางค์ต้องเกิดคุณค่ากับประเทศชาติ บ้านเมือง และพี่น้องประชาชน เมื่อถามว่า เสียงสะท้อนชะลอแจกเงิน 10,000 ประชาชนอยากให้กลับมาแจกอีกหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า เป็นการชะลอแจก นำเงินไปใช้ด้านอื่น ตอนนี้ทุกจังหวัดที่มีโครงการค้างไว้ ก็ไปทำโครงการนั้นก่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องตัดสินใจไว อย่าช้าอีก ถ้าไว เม็ดเงินออกไปจะมีการจ้างงานเกิดขึ้น ทั้งเรื่องน้ำ เรื่องถนน และเรื่องอาชีพที่รัฐบาลส่งไปทางจังหวัด ทางจังหวัดต้องดูแลในภาพรวมหลังของบประมาณไป

คงต้องรอดูกระบวนการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณฯ จะเข้มข้นและดุเดือดมากแค่ไหน โดยเฉพาะบทบาทของพรรคฝ่ายค้าน ที่ชี้ให้เห็นถึงการจัดตั้งงบประมาณบางหน่วยงาน ที่มีความไม่เหมาะสม และเสนอให้ตัดลดงบประมาณดังกล่าว

ขณะที่หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท ซึ่งเกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าว ยังก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง โดย “นายดนุพร ปุณณกันต์” สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค พท. แถลงถึงจุดยืนของพรรคในคดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า พรรคมีความเป็นห่วงและสงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากหลายท่านทราบดีว่าคดีเรื่องการจำนำข้าวนั้นเป็นคดีที่เกิดขึ้นในช่วงของการปฏิวัติรัฐประหาร และเป็นหนึ่งในเหตุผลของการยึดอำนาจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะนั้น เวลาผ่านไป 10 กว่าปี ตนเชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีทีมกฎหมาย มีทนายที่ร่วมต่อสู้คดี แต่เมื่อคดีถึงที่สุด พรรคต้องยอมรับในคำตัดสิน และอยากจะใช้ช่องทางกฎหมายเท่าที่เหลืออยู่ต่อสู้ในคดีนี้ 

“พรรค พท. เองเป็นกำลังใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเรียนว่าหลังจากที่ตัดสินไปแล้ว มีการสอบถามมายังพรรคค่อนข้างเยอะมาก และเราก็ได้ไปพูดคุยกับฝ่ายกฎหมาย พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค ขอเรียนว่าคดีนี้ยังมีช่องทางให้พอต่อสู้ได้อยู่” นายดนุพร กล่าว

นายดนุพร กล่าวต่อว่า คดีนี้มีการขายข้าวได้น่าจะเป็นหลักฐานใหม่ ที่จะนำไปสู่การขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดใหม่ได้ ภายใน 90 วัน ตามมาตรา 75 ของพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี พ.ศ.2542 เป็นหลักฐานใหม่คือการขายข้าว 18.9 ล้านตัน เมื่อปีที่แล้ว ยังไม่ได้นำเข้าสู่การพิพากษาในคดี เพราะเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นภายหลังการสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ฉะนั้น ทางพรรคเองมองว่าเป็นหลักฐานใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ดังนั้น เราจะใช้ช่องทางทางกฎหมายตามมาตรา 75 นี้ เป็นช่องทางต่อสู้ต่อไป

ด้าน “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี (ทภ.) ในฐานะอดีต สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกฯ ในโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าว โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ หยุดสร้างความสับสนให้ประชาชน หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด กลับคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท ข้าวที่เหลือในโกดัง 18.9 ล้านตัน ถูกขายในราคาต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ คิดเป็นมูลค่าส่วนต่างนับ 100,000 ล้านบาท แต่ไม่ปรากฏความคืบหน้าของการตรวจสอบ และหาคนรับผิดชอบไม่ได้จนปัจจุบัน

คำตอบ คุณต้องยอมรับความจริงว่า ข้าวที่ถูกขายในคลัง มีข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวเหลือง ข้าวขึ้นรา รวมทั้งมีนั่งร้านซุกอยู่ในกองข้าว ทำให้เขาต้องขายข้าวเหล่านี้ออกไปราคาถูก มันเป็นบางส่วน หลายส่วนที่เป็นข้าวดี ก็ขายออกไปในราคาที่สูง คุณต้องพูดให้ถูกต้อง ส่วนข้าว 10 ปี ที่พวกคุณอ้างขายได้ราคาดี เพราะพวกคุณจัดฉาก (มีการจ้างเอกชนไปแต่งกองใหม่ให้ดูดี) ใครๆ ก็รู้ เพราะมันมีข้าวเหลือไม่มาก

ล่าสุดบริวาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังออกมามั่วๆ อีกว่า หลังมีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ค่าสินไหม 10,028 ล้านบาท ถ้ามาหักกับข้าวที่ยังเหลือในคลัง แล้วเอาไปขาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย คำตอบ พวกคุณต้องไปอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดให้ดี การที่พูดแบบนี้แสดงว่าพวกคุณไม่ได้อ่าน ศาลท่านไม่ได้คิดค่าเสียหาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร่วมกับข้าวที่คงค้างอยู่ในคลังในช่วงนั้น ศาลท่านคิดเฉพาะการที่พวกคุณระบายข้าวจีทูจี ไปให้พรรคพวกราคาถูกมาก ซึ่งเป็นจีทูจีเก๊ หลายฝ่ายเตือนก็ไม่สนใจ ราคาข้าวที่ขายจีทูจี ก็ต่ำกว่าราคาตลาดมาก คิดความเสียหายจากการขายจีทูจี 4 สัญญาได้ 20,057 ล้านบาท และให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จ่ายค่าเสียหายนี้ 50% คือ 10,028 ล้านบาท ส่วนข้าวในคลังจะเสียหาย หรือขายเท่าไร ศาลปกครองไม่ได้เอามาคิดค่าเสียหาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่ามั่วเลยครับ

ดังนั้นใครมั่วใครจริง ต้องรอดูหลังจากทีมกฎหมายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นหลักฐาน ขออุทธรณ์ต่อศาลปกครอง ศาลฯ จะรับหรือไม่ รวมทั้งกระทรวงการคลังจะดำเนินการอย่างไร ต่อคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในฐานะที่เป็นหน่วยงานต้องนำคำวินิจฉัยของศาลไปปฏิบัติ.

“ทีมข่าวการเมือง”