น.ส.กุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการ SAP ประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้เปิด รายงาน whitepaper ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ) (ETDA) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และ SAP ผู้นำตลาดด้านซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร โดยรายงาน ชี้ให้เห็นว่าไทยยังมีอีกหลายปัจจัยที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการภาคการผลิตในประเทศไทยเพียง 2% เท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งที่ศักยภาพในการนำ AI มาใช้ในประเทศไทยสามารถขยายได้มากถึง 300 กรณีการใช้งานในภาคการผลิต ซึ่งจะช่วยยกระดับให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคได้
ดร. สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส TDRI กล่าวว่า AI มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมนวัตกรรม และทำให้เกิดการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ รวมถึงช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย หากมีการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลายในภาคการผลิต ประเทศไทยจะสามารถสร้างฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศในการเป็นเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่นและแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยการนำ AI มาใช้ในบริษัทผู้ผลิตในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ว่าภาพรวมของภาคธุรกิจไทยในปัจจุบันจะมีการนำ AI มาใช้เพียง 18% แต่คาดว่าภาคการผลิตจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี พ.ศ. 2568

“ธุรกิจการผลิตจะได้รับประโยชน์อย่างมากจาก AI คาดว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ความต้องการเพื่อลดการสูญเสียยอดขายได้ถึง 65% เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ 20% ผ่านระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรมที่เสริมด้วย AI ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักรได้ 20% ผ่านการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยในสถานที่ทำงานได้ถึง 90%”
ดร. สลิลธร กล่าวต่อว่า ข้อมูลยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ผลิตไทยในการนำ AI มาใช้ ซึ่งแม้ว่าเกือบสามในสี่ (73%) ขององค์กรไทยวางแผนที่จะนำ AI มาใช้ แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการประยุกต์ใช้ AI ในภาคการผลิต อย่างไรก็ตามเกือบสองในสาม (65%) ขององค์กรการผลิตระบุถึงความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน (65%) ของผู้ผลิตไทยระบุว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอส่งผลกระทบต่อการนำ AI มาใช้

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) กล่าวว่า ข้อมูลเชิงลึกที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแล AI ทั้งนี้ ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง SAP สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม AI อย่างเต็มที่
น.ส.กุลวิภา กล่าวอีกว่า วิธีเดียวที่จะสร้าง Business AI ที่ดีที่สุดได้ คือการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุด ปัจจุบันเรามีลูกค้ามากกว่า 34,000 ราย ที่ใช้ SAP Business AI ซึ่งรวมถึงลูกค้าหลายพันรายทั่วเอเชีย พวกเขาได้รับประโยชน์จากการฝังขีดความสามารถของ AI ขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทางธุรกิจ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตัดสินใจอัตโนมัติ การพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ด้วย Business AI ที่เกี่ยวข้อง เชื่อถือได้ และมีความรับผิดชอบ เชื่อมโยงกับความเข้าใจทางธุรกิจอย่างสมบูรณ์และข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด ผู้ผลิตไทยจึงสามารถวางใจในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด พร้อมทั้งตระหนักถึงประโยชน์มหาศาลของยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ทั้งสำหรับธุรกิจของตนเองและสำหรับประเทศ