เมื่อวันที่ 29 พ.ค. พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) เปิดเผยว่า อาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนที่ถูกตรวจพบภายในร้านค้าสวัสดิการ มณฑลทหารบกที่ 41 ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2568 นั้น เป็นอาวุธปืนที่ถูกต้อง และมีหมายเลขทะเบียน ส่วนที่มีการออกมายืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าวล่าช้า เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยละเอียดของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือ สืบสวน สอบสวน จนนำไปสู่การรับสารภาพถึงที่มาของอาวุธดังกล่าว ย้ำจากการตรวจสอบอาวุธเป็นอาวุธใหม่ทั้งหมด สามารถซื้อขายตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ใช่อาวุธสงคราม และเป็นการซื้อขายที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อจากร้านค้าส่วนกลางเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ซึ่งไม่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ย้ำไม่ใช่กลุ่มขบวนการ แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่มีการใช้ชื่อกำลังพลภายในค่าย ทำสัญญาเช่าพื้นที่ เพื่อประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์เปิดเป็นร้านค้าประเภท อุปกรณ์ตกแต่งอาวุธปืน เครื่องทหาร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และร้านรับส่งพัสดุเอกชน  และขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน และขยายผลเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

พล.ท.ไพศาล กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่กับกลุ่มขบวนการผู้เห็นต่างที่มีการพัฒนาบุคคลรุ่นใหม่ที่ชอบความรุนแรงต่อเนื่อง ส่วนเหตุการณ์ที่ตรวจพบอาวุธปืนในพื้นที่หน่วยทหารนั้น กองทัพไม่ได้เพิกเฉย หากตรวจพบว่ากำลังพลมีส่วนเกี่ยวข้องจริง จะดำเนินการตามกฎหมายถึงที่สุด กำชับพื้นที่หน่วยทหารไม่มีใครแอบอ้าง หลบซ่อนอำพรางในพื้นที่เด็ดขาด และพร้อมเปิดเผยข้อมูลต่อสื่อมวลชนในทุกเหตุการณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องไปยังประชาชน ยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่มีความกังวลใจ และพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาร่วมกับทุกภาคส่วนจริงจัง 

“ในฐานะแม่ทัพภาคที่ 4  ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4  เชื่อมั่นการทำงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้นโยบายของรัฐบาล มุ่งมั่นขับเคลื่อนอย่างประสานสอดคล้อง ขณะเดียวกันประชาชนทุกคนที่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร สถานการณ์ในพื้นที่ ล้วนเข้าใจบริบทพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะทุกเหตุการณ์เมื่อเกิดขึ้น ย่อมมีเหตุ และผล ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่ยึดหลักของกฎหมาย จะรวบรวมพยานหลักฐาน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้” แม่ทัพภาค 4 กล่าว.