นับเป็นอีกคู่ที่แฟนๆลุ้นข่าวดี หลังจากที่หัวใจกลับมาสดใสอีกครั้ง เพราะความสัมพันธ์ระหว่าง “เคน ภูภูมิ” กับ “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” กลับมารักหวานกันดังเดิม ซึ่งเพิ่มเติมคือหวานขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก อีกทั้งก่อนหน้านี้มักเสิร์ฟคอมเมนต์โมเมนต์น่ารักมาให้แฟนๆ ได้กระชุ่มกระชวยหัวใจ แถมยังทุ่มสุดตัวลงทุนทำธุรกิจเต็มตัว ขยันเก็บเงิน จนหลายคนคิดว่าฝ่ายชายเตรียมเร่งหาเงินไปสู่ขอฝ่ายหญิงอย่างแน่นอน

ล่าสุด เคน ภูภูมิ ได้นำธุรกิจ “เคนภูปัง (Ken Phu Pang) “ มาร่วมขายในงาน “A fair อร่อยเกรดเอ by A Supachai” พร้อมเผยถึงหวานใจและธุรกิจที่ปังเกินคาด โดยดาราหนุ่มได้เผยว่า

“สำหรับธุรกิจของเราก็ขยายสาขาแล้ว  ซึ่งธุรกิจนี้ก็เกินความคาดหวัง คือเราเป็นคนทำเองทั้งหมดเป็นขนมปังโฮมเมด ซึ่งตอนนี้มี5สาขา เรายังบริหารจัดการได้สบาย ธุรกิจขยายเร็วไปกว่าที่คิด แต่ก็ขอกลับมาบริหารหลังบ้านใหม่ สร้างระบบ สร้างทีม คือเราไม่อยากให้ร้านเราโตกว่าทีมเรา เราอยากให้ทีมเราโตกว่าร้าน ทีมเราจะได้ดูแลร้านได้ดี อยากให้ทีมแข็งก่อนแล้วค่อยลุยกันอีกรอบ ก็ขอบคุณทุกคนมากที่มาสนับสนุนธุรกิจของผม

ในพาร์ทของธุรกิจของเราก็สนุกครับ  แต่ก็ต้องมีอะไรให้คิดเยอะเหมือนกัน และมีอะไรที่ต้องชาเลนจ์ตัวเองกับทีมตลอดเวลา ซึ่งเรื่องปวดหัวมันก็มีเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันก็รู้สึกว่าก็เป็นแบบนี้แหละการที่เราจะต้องโต มันก็จะต้องผ่านอะไรยากๆ แบบนี้แหละ ทุกแบรนด์มันเป็นหมด ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้มันก็จะโตเอง  ส่วนอุปสรรคก็คิดว่าเจอนิดนึงในภาพรวม แต่ก็ยังคอนโทรลต่อได้

หลังจากนี้วิธีการรับมือก็จะต้องรันการโปรโมตไปเรื่อยๆ ดีกว่า  และรักษาคุณภาพของตัวสินค้าเราให้ได้ดีที่สุด สิ่งที่คิดว่ายากที่สุดในการทำธุรกิจตรงนี้ผมว่าของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน เรื่องยากที่สุดคิดว่า ห้ามหยุดขยัน คือมันต้องสู้ต่อ ต้องอดทน ห้ามที่จะเรียนรู้ ผมว่าอันนี้สำคัญ ซึ่งเราก็มีลงพื้นที่สาขาบ่อยๆ เพื่อทำคลิปโปรโมต ส่วนในเรื่องของการตรวจงานคือเรามีทีมเข้าตรวจอยู่แล้ว แล้วก็ประชุมออฟฟิศเข้าเช็คบ้าง คืออยากจะทำให้มันเป็นระบบมากกว่า เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”

เคน ได้เล่าต่อว่า “เราก็จะพยายามพา ”เอสเธอร์“ ไปชิมเรื่อยๆ  คือเราก็อยากรู้ว่าเขากินอร่อยไหม ซึ่งเรากินอร่อยคนเดียวไม่ได้ เราต้องการคอมเมนต์ต่างๆ ซึ่งเขาก็ช่วยทำคอนเทนต์การตลาดและช่วยคิดด้วย ถามว่าเรียกเป็นธุรกิจครอบครัวได้ไหม จริงๆ เขามีหุ้นส่วนอยู่ในธุรกิจอยู่แล้ว คือผมให้หุ้นเขาอยู่แล้ว ถามว่าเขาโอเคไหมที่เราจะยังไม่ขยายสาขาเพิ่ม ในตัวเอสเธอร์เขาก็โอเคนะ คือมันเป็นสิ่งที่ดีของทุกคนคือ การขยายสาขาเพิ่มมันไม่ได้แปลว่าเป็นการเจริญรุ่งเรือง การขยายสาขาเพิ่มไปเรื่อยๆ มันอาจจะทำให้เราเป็นหนี้ได้ คือถ้าเราทำตรงนี้ให้มันดีผมว่ามันมั่นคงและยั่งยืนกว่าที่เราจะไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ทำให้ตัวเองแข็งแรง 

สำหรับความคิดคู่เราถามว่ามีการไม่ลงรอยกันไหม  คือไม่ครับ การบริหารเอสเธอร์ไม่ได้เป็นคนบริหาร เอสเธอร์มีแค่หุ้นอย่างเดียว รับปันผลอย่างเดียว และช่วยทำคอนเทนต์ ส่วนเรื่องการบริหารและการทำงานเป็นทีมฝั่งของเรา ส่วนที่หลายคนบอกว่าไม่ค่อยได้เห็นคอนเทนต์ของเรา คือช่วงนี้ไม่ว่างทั้งคู่เลยเอสเธอร์มีถ่ายหนัง ผมก็มีถ่ายซีรีส์อยู่ แล้วก็ทำงานสลับกัน ก็เลยไม่ค่อยได้มีเวลาทำคอนเทนต์ เวลาวันว่างก็ประชุมทำนู่นนี่นั่น

ส่วนรากฐานของชีวิตเราก็พยายามที่จะทำหลายๆ อย่างให้มันดีขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง  ส่วนเรื่องอื่นก็พยายามตามมาเป็นสเต็ปๆ หลายคนบอกว่าเราทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปขอแต่งงานเอสเธอร์ ก็ถ้าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็โอเคครับ ก็อยากพร้อมนะ ก็พยายามอยู่ ตอนนี้ก็เก็บเงินอยู่ ซึ่งธุรกิจนี้เปิดมาด้วยกัน 8 เดือน ถามว่าเงินเก็บถึงครึ่งหรือยัง ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่าเงินจำนวนมันไม่ได้สำคัญเท่ากับความพร้อม ถามว่ารอฤกษ์ รออะไรไหม คือมันไม่มีฤกษ์ครับ ถามว่าอยากแต่งไหมคิดว่ามุมมองคล้ายๆ กัน คือรู้สึกว่าถ้าทุกอย่างมันโอเคแล้ว มันไม่ต้องทำงานเยอะๆ มันก็จะมีเวลาใช้ชีวิตในอีกรูปแบบนึง ผมว่าผมกับเขาน่าจะมองมุมเดียวกัน ให้เร่งขยันทำงาน ให้ไปอีกจุดนึงเราจะได้เดินไปแบบไม่ต้องวิ่งมันจะเหนื่อยเกิน”

พระเอกดัง เล่าต่ออีกว่า “คือถ้าธุรกิจมันลงตัวแล้วก็อาจจะพร้อมแต่งครับ  ก็อยากจะเก็บเงินอีกซักสองปี ถามว่าจะแต่งเลยไหม ก็พยายามอยู่ มีคิดที่จะขอเรื่องการแต่งงานไว้ไหม ก็คือยังไม่ได้คิด แต่คิดว่ามันควรจะต้องมีเซอรไพร้ส์ คือผู้หญิงทุกคนต้องชอบเซอร์ไพร้ส์อยู่แล้วแหละ สำหรับความกดดันที่โดนแฟนๆ ถามหรือนักข่าวถามเรื่องการแต่งงาน ก็ไม่ได้กดดันคือถามๆ ได้แต่กดดันตัวเองเรื่องการทำงานมากกว่าคือมันเป็นเรื่องปกติที่จะถามเพราะว่าเราก็ 30 นิดๆ แล้วหลายคนก็แต่งไปแล้วก็เลยเข้าใจได้ ซึ่งก็โดนถามทุกรอบ เราก็เข้าใจได้ ก็รู้สึกว่า ถ้ามันจะเปลี่ยนสเต็ปมันก็ควรจะเปลี่ยนสเต็ปเป็นอีกรูปแบบนึงที่เราแฮปปี้กันทั้งคู่ แต่ยังไงก็คนนี้แหละ”