สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่าทรัมป์อธิบายว่า คำสั่งนี้เป็นเรื่องของ “ความมั่นคง” โดยอ้างถึงการโจมตีสมาชิกของชุมชนชาวยิวในรัฐโคโลราโด เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำโดยชาวอียิปต์ แต่อียิปต์ไม่อยู่ในรายชื่อเหล่านี้ ส่วนเหตุผลอื่น ๆ คือการละเมิดกฎวีซ่าของสหรัฐ

สำหรับ “อัฟกานิสถาน” ทรัมป์อ้างว่า กลุ่มตาลีบันซึ่งปกครองประเทศ เป็นกลุ่มก่อการร้ายระดับโลกที่สหรัฐต้องการตัวมากเป็นพิเศษ (เอสดีจีที) ขณะที่ประเทศแห่งนี้ขาดหน่วยงานส่วนกลางที่มีประสิทธิภาพและให้ความร่วมมือ ในการออกหนังสือเดินทางหรือเอกสารทะเบียนราษฎร และพลเมืองอัฟกานิสถานมักอาศัยอยู่ในสหรัฐเกินระยะเวลาวีซ่า

คำสั่งของทรัมป์ระบุว่า “อิหร่าน” เป็นรัฐที่สนับสนุนการก่อการร้าย รวมถึงสนับสนุนการปฏิบัติการของกลุ่มตัวแทนในภูมิภาค เช่น กลุ่มฮามาสและฮิซบอลเลาะห์ นอกจากนั้น อิหร่านยังเป็น “ต้นกำเนิด” ของการก่อการร้ายครั้งใหญ่ทั่วโลก และไม่ยอมร่วมมือกับสหรัฐในเรื่องความเสี่ยงด้านความมั่นคง และไม่ยอมรับพลเมืองถูกเนรเทศจากสหรัฐ

ในกรณีของ “โซมาเลีย” และ “ลิเบีย” ทรัมป์เรียกทั้งสองประเทศว่า “เป็นสถานที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ก่อการร้าย และไม่มีความสามารถในการออกหนังสือเดินทาง โดยลิเบียเคยมีการปรากฏตัวของกลุ่มก่อการร้าย รวมถึงไม่ยอมรับพลเมืองของตนที่ถูกเนรเทศออกจากสหรัฐ ขณะเดียวกัน รัฐบาลของโซมาเลียขาดการสั่งการและควบคุมดินแดนของตน

เอกสารระบุว่า ผู้อพยพจาก “เฮติ” หลายแสนคนหลั่งไหลเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย ในช่วงการบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการสร้างเครือข่ายอาชญากร และอัตราการอยู่เกินวีซ่าที่สูง โดยมีชาวเฮติมากกว่า 852,000 คนอาศัยอยู่ในสหรัฐ ตามการสำรวจเมื่อเดือน ก.พ. 2567 นอกจากนั้น การอพยพจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2553 และหลังกลุ่มอาชญากรครอบงำประเทศ ยังชี้ให้เห็นถึงการขาดอำนาจส่วนกลาง

“ชาด สาธารณรัฐคองโก (คองโก-บราซาวีล) อิเควทอเรียลกินี” ถูกกล่าวหาโดยทรัมป์ว่า มีอัตราการอยู่เกินวีซ่าที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ชาดถูกตำหนิว่า ไม่คำนึงถึงกฎหมายการเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากอัตราการอยู่เกินกำหนดของผู้ถือวีซ่าธุรกิจหรือท่องเที่ยวเมื่อปี 2566 สูงถึง 49.54% ตามรายงานของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ส่วนอัตราการอยู่เกินของผู้อพยพจากคองโก-บราซาวีล และอิเควทอเรียลกินี อยู่ที่ 29.63% และ 21.98% ตามลำดับ

ขณะที่ “เมียนมา” มีอัตราการอยู่เกินที่วีซ่ากำหนดเช่นกัน และไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐ ในการยอมรับพลเมืองที่ถูกเนรเทศกลับสู่ภูมิลำเนา

 “เอริเทรีย ซูดาน และเยเมน” ถูกระบุว่า เป็นที่น่าสงสัยในความสามารถการออกหนังสือเดินทางและเอกสารทะเบียนราษฎร มากไปกว่านั้น เอริเทรียและซูดานยังมีอัตราการอยู่เกินกำหนดของวีซ่าสูง ส่วนเอริเทรียไม่ยอมเปิดเผยประวัติอาชญากรรมของพลเมือง และปฏิเสธที่จะรับกลับพลเมืองซึ่งถูกเนรเทศ

ขณะที่สหรัฐกล่าวหา โซมาเลียและเยเมน ด้วยว่า ควบคุมดินแดนไม่มีประสิทธิภาพมากพอ โดยเอกสารของทรัมป์เน้นย้ำว่า เยเมนเป็นพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐที่ยังดำเนินอยู่.

เครดิตภาพ : AFP