นับเป็นอีกหนึ่งพระเอกดังที่กำลังฮอตในช่วงนี้ สำหรับ “ภณ ณวัสน์” ที่ล่าสุดขอเปิดใจเผยจุดเริ่มต้นกับเส้นทางในวงการบันเทิง รวมถึงเล่าย้อนช่วงที่หมดแพสชั่นกับชีวิต ท้อจนทำทุกอย่างติดขัด พร้อมทั้งเปิดใจถึงความรักกับนางเอกสาว “คุกกี้ ญดา” จากเพื่อนวิ่งสู่คนรู้ใจ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne 31 โดย ภณ ณวัสน์ เผยว่า

“จุดเริ่มต้นการเข้าวงการบันเทิง คุณแม่ก็เป็นนางเอก แม่ชื่อ “อ้อม ชณุตพร” ผมมีโอกาสไปงานที่เขาจัดฉายภาพยนตร์เก่าๆ เลยได้ชมภาพยนตร์ของคุณแม่ ณ ตอนนั้น ซึ่งตอนเด็กผมใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้มีความฝันว่าจะเป็นนักแสดง เป็นดารา ซึ่งความฝันในวัยเด็ก มีหลายช่วงวัย เริ่มจากเป็นตำรวจ พอมาอีกช่วงหนึ่งเริ่มอยากเป็นสัตวแพทย์ เพราะเราเลี้ยงสุนัข หลังจากนั้นก็อยากเป็นวิศวกร อยากเป็นเยอะมาก สุดท้ายเจอผู้จัดการ เลยได้เข้าวงการ ซึ่งเราเจอกันในเฟซบุ๊กครับ เขาไปส่องเฟซเพื่อนผมก่อน ตอนนี้เขาเป็นเดอะสตาร์ เขาเห็นรูปภณก็เลยเข้ามาติดต่อ อินบ็อกซ์มาบอกว่า พี่เป็นโมเดลลิ่งและเป็นแคสติ้งด้วย สนใจอยากเข้าวงการไหม ผมก็ยังงงๆ อยู่ ยังเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่ ผมก็เลยให้ไปถามคุณแม่

ตอนนั้นผู้จัดการได้ติดต่อไปหาคุณแม่ก่อนที่จะติดต่อหาเรา ผู้จัดการผมเป็นแฟนคลับคุณแม่ด้วย เพราะว่าคุณแม่ผมเป็นนางเอก ซึ่งหลังจากนั้นก็นัดถ่ายโปรไฟล์ ผมก็กลัวว่าเขาจะหลอกอะไรหรือเปล่า ก็เลยให้คุณพ่อแต่งเครื่องแบบตำรวจไปเลย แล้วเขาจะส่งโปรไฟล์ให้ผู้จัด แล้วพี่คิงสนใจแล้วนัดดูตัวแล้ว ตอนนั้นผมยังใส่เหล็กจัดฟันอยู่ เล่นละครไม่ได้ พี่คิงบอกว่าขอจองไว้ก่อนแล้วให้ไปเรียนก่อน แล้วเราก็เริ่มดูแลตัวเองจากเด็กที่เตะบอลตอนกลางวัน แดดเที่ยง ก็เริ่มมาเตะตอนเย็น ส่วนพี่หน่องอยากให้เรามีประสบการณ์ ส่งไปประกวดตามเวทีต่างๆ 

แรกๆ ทำตามที่เขาแนะนำ ทำไปเรื่อยๆ แต่หลังๆ ผมรู้สึกว่าการประกวดเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบ ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบ ผมทราบมาว่า ผมจะได้เวทีนี้ แต่ปรากฏพลิก มันมีเบื้องลึก เบื้องหลัง อีกอย่างผมไม่ชอบบรรยากาศเวลาเขม่นกัน”

ภณ ณวัสน์ เล่าต่อว่า “สำหรับเวทีแรกที่ประกวดคือ หนุ่มสาว ดาวเมขลา ส่วนรายการสุดท้าย จริงๆ ผมไม่อยากประกวดแล้วแหละ แต่ตอนนั้นช่วงเข้ามหาวิทยาลัยแล้วรู้สึกว่าอยากลองจ่ายค่าเทอมเองสักครั้ง ก็ถามผู้จัดการว่าทำยังไงดีเราถึงจะหาค่าเทอมได้ พี่หน่องบอกว่าแกต้องแลกนะ สิ่งที่แกไม่ชอบนั่นแหละจะหาเงินได้ ก็เลยไปประกวดอีกเวทีหนึ่ง ซี่งเวทีนี้มีกรรมการคือผู้จัดละคร มันก็เป็นโอกาสดีที่ทำให้ผู้จัดเห็นศักยภาพเรา เราเลยโอเค เวทีนี้แหละลองดู สรุปได้ที่ 1 ได้เงินรางวัล 1 แสน มันเป็นเวทีสาววิ๊ง หนุ่มว้าว ซีซั่น 2  พอได้ตำแหน่ง ถามว่าเราได้ทำงานในวงการบันเทิงเลยไหม คือช่วงนั้นก็ยังไม่มีความฝันว่าอยากเป็นนักแสดง ตอนนั้นก็เรียนไป พี่คิงติดต่อมา เพราะเห็นเราเอาเหล็กดัดฟันออกแล้ว ขอดูตัวอีกรอบ แกก็บอกว่าพร้อมแล้วแหละ มีละครเรื่องหนึ่งให้ลง พาเข้าช่องเลย

ส่วนผลตอบรับกับละครเรื่องแรกเป็นยังไงบ้าง พอละครมันออนแอร์ ที่บ้านตั้งหน้าตั้งตารอดูมาก ผมไม่กล้าดู เอาผ้าห่มมาคลุม เขินตัวเองเวลาอยู่ในทีวี ถามคุณแม่ว่าว่ายังไง เพราะว่าเป็นนางเอกเก่า คุณแม่เงียบๆ ก่อนแล้วค่อยมาคอมเมนต์ สุดท้ายตอนละครจบแล้ว คุณแม่บอกว่า เรื่องแรกถือว่าโอเคนะ แต่อยากให้ปรับปรุงเรื่องอินเนอร์อีกนิดนึง คุณแม่สอนเรื่องการแสดงแล้ว คุณแม่จะบอกเสมอว่าจำบรรยากาศวันแรกได้ไหม เราสวัสดีทุกคนยังไง ต่อไปเรามีชื่อเสียงยังไงก็ต้องเป็นแบบนั้น แล้วเรื่องการตรงต่อเวลา เพราะเราทำงานกับคนหลายคน ถ้าเรามาช้าแค่คนเดียว มันจะเสียหายทั้งหมด 

คือเล่นละครกับพี่คิง 2 เรื่อง เรื่องที่ 3 มีลังเลว่าจะรับดีไหม เพราะว่าช่วงนั้นผมอยู่ปี 4 เป็นช่วงที่กำลังทำธีสิส ถ้าเราจะรับทั้งสองอย่างคุณก็ต้องสู้ ถ้าเลือกละครคุณก็ต้องไปดร็อป ซึ่งไม่จบใน 4 ปีแล้วคงไม่มีโอกาสได้เกียรตินิยมแน่นอน ถ้าไม่รับละครเลยโอกาสก็จะหายไป พี่หน่องก็บอกว่าเลือกแล้วนะ อย่าบ่นนะ ซึ่งก็บ่นบ้าง แต่ก็ทำ มันเป็นละครที่ดราม่ามากๆ ธีสิสก็ยากมากๆ เพราะเป็นคณะวิศวะ แต่สุดท้ายก็ได้เกียรตินิยมอันดับ 2 ละครเหมือนไปได้สวยแต่มันหมดแพสชั่นอีกแล้ว คือพอเราเรียนจบ ทำงานเต็มตัว จันทร์-พุธ เรื่องหนึ่ง พฤหัสบดี-อาทิตย์ อีกเรื่องหนึ่ง เท่ากับ 7 วันไม่มีวันหยุด ทำแบบนั้นวนลูปไป พอถึงจุดหนึ่งเราเล่นคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงกับตัวที่ผ่านมา ก็เล่นไป จนแบบมันมีอะไรที่ท้าทายมากกว่านี้อีกไหม ก็เลยเริ่มหมดไฟนิดนึง ณ ช่วงเวลานั้น แต่โชคดีที่มีเรื่องใหม่เข้ามา แล้วเป็นบทที่ว้าว แพสชั่นก็เลยกลับมา”

ดาราหนุ่มเผยต่อว่า “ส่วนเรื่องที่มีคนเมาท์ว่าจริงๆ เล่นของ คือมันก็ต้องมีมูนิดนึง คือคุณตาผมจะเล่นพระ ดูดวงด้วย คุณตาเลยดูดวงผมแล้วบอกว่ามีพระประจำตัวอยู่นะ ก็คือ หลวงพ่อเงิน ผมเลยจำไว้ แล้วคิดว่าถ้ามีโอกาสอยากไปไหว้สักครั้งหนึ่ง เพราะเป็นพระที่ดูแลเรา ผมก็พูดลอยๆ แล้วทำงานไปเรื่อยๆ แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่หน่องถามว่า ทำไมช่วงนี้งานเหมือนจะได้ แต่ก็หลุด มันหลายงานมาก พี่หน่องผู้จัดการผมสายมูอยู่แล้ว เขาเลยไปหาหลวงพ่อที่ภูเก็ต ภาษาใต้เขาเรียกว่าติดเหมรฺย เหมือนเราไปบนบานอะไรไว้ คำมั่นสัญญา แล้วเราไม่ได้แก้ พี่หน่องเลยคิดว่าภณไปพูดตอนไหน ซึ่งผมพูดว่าอยากไปไหว้หลวงพ่อเงินสักครั้ง พอคิดได้ก็นั่งรถไปเลย พอไปกราบแล้วชีวิตมันเริ่มดีขึ้นครับ

ถามว่าคุณตาบอกไหมว่า ถ้าติดเหมรฺยหรือติดคำบนบาน ต้องไปทำพิธียังไง พอดีคุณตาเสียก่อนที่จะเข้าวงการถ่ายละคร แล้วตอนที่เดินทางไปวัดที่พิจิตรได้ไปทำพิธีไหว้และขอพร และพูดว่า สิ่งที่เราเคยพูดไว้ เรามาไหว้แล้ว แล้วเราก็ขอพรท่าน อย่าให้ติดค้าง อย่าให้ติดขัด ขอให้การงานทั้งหมดราบรื่น พอการไปไหว้ครั้งนั้น ไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับบนบานเลย ให้พี่หน่อง ผู้จัดการผมไปบนเลย ผมอยู่กอง พี่หน่องอยู่วัด ให้เขามู ขอพร ผมทำงาน เขาจะพูดเสมอว่า ถ้าขอพรแล้วได้ แกต้องไปด้วยกันนะ นอกจากวัดแล้ว ส่วนมากผมจะไปทางสายพญานาค จะไปทางอีสาน นครพนม แล้วพี่หน่องมาทางพญานาคเหมือนกัน ขอท่านแต่ละทีคือได้ คือไปนครพนมบ่อยมาก ไปแก้บน ตั้งโต๊ะบวงสรวง

แต่ตอนนี้การถ่ายละครก็ลดลงหน่อยแล้วครับ แต่เมื่อก่อนนี้ 7 วันจริงๆ 7 วันการละครเลยครับ แต่ช่วงนี้ก็มีความรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่เป็นตัวเอง คือช่วงก่อนหน้านี้ 2-3 ปีที่ถ่ายละคร 7 วัน เพราะเหมือน จันทร์-พุธ ตัวละครตัวหนึ่ง พฤหัสบดี-อาทิตย์ ตัวละครตัวหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เป็นตัวเอง ก่อนนอนเราก็ต้องอ่านบท ทำความเข้าใจ เหมือนเป็นตัวเองแค่ตอนนอน ก็เลยคิดว่าจะทำยังไงดี สักพักก็ได้รู้จัก เข้าวงการวิ่ง ได้ออกกำลังกายด้วย มันก็เลยรู้สึกว่าเราได้อยู่กับตัวเองนะ สมองปลอดโปร่ง พอได้เข้าวงการวิ่ง ตอนนี้คือหนักไปถึงขั้นมาราธอนเลยครับผม คือมันเหมือนเป็นเป้าหมายของนักวิ่งหลายคนที่เขาเริ่มเข้าวงการมา เขาอยากเก็บมาราธอนรายการใหญ่ๆ ของโลกให้ได้ ตอนนี้มีทั้งหมด 6 ที่

นอกจากวิ่งก็มีปั่นจักรยานด้วย ถามว่าจะไปลงไตรกีฬาหรือเปล่า ลงมาแล้วครับ เป็นระยะสแตนดาร์ด ด้วยการวิ่งทำให้เราได้เจอหวานใจด้วยครับ ถามว่าไปวิ่งแล้วไปสะดุดรักกันตอนไหนกับ “คุกกี้ ญดา“ คือมันเริ่มจากที่ผมซ้อมสวนรถไฟอยู่แล้ว คนวิ่งมันก็วิ่งสวนๆ กันอยู่แล้ว ก็จะเจอกัน คุ้นหน้า คุ้นตากันอยู่แล้ว แล้วไปบังเอิญเจอที่งานวิ่ง ก็จำได้ว่าเคยซ้อมสวนเดียวกันก็ทักทายปกติครับ อินบ็อกซ์ไป แต่ยังไม่ได้คิดอะไรนะ แล้วเหมือนคุยกันแต่เรื่องวิ่ง เรื่องปั่นจักรยาน ไตรกีฬา จนเหมือนวันหนึ่งผมอินบ็อกซ์ไป เพราะว่าเขาลงเกี่ยวกับปั่นจักรยาน ผมก็อยากหาเพื่อนปั่น เพราะผมปั่นอยู่คนเดียว พอนัดเจอกันวันแรกก็เลยปั่นจักรยานไป ถามว่ารู้สึกเกินเพื่อนตอนไหน ก็น่าจะคุยมาได้สักพักหนึ่ง ทัศนคติเริ่มตรงกัน เริ่มไปในทิศทางเดียวกัน เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยพัฒนาไป แล้วเราไปกำหนดสถานะว่าเป็นแฟนกันตอนไหน อันนี้มันไม่ชัดเจน เรื่องลงรูปจะมีข่าวออกมานิดหนึ่ง เขาก็มาถามว่ามีคนคุยหรือเปล่า ผมก็เลยบอกไม่มี เขาก็บอกว่าไม่มีเหมือนกัน มันก็เริ่มตรงนั่นเลยครับ”