เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 9 มิ.ย. 68 ที่รัฐสภา นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมด้วย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง และคณะสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมกันแถลงข่าวถึง “บทบาทของวุฒิสภา ต่อกรณีปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา และการมีส่วนร่วมกับแนวทางแก้ปัญหาอย่างสันติ ของรัฐสภา” ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา)
โดยนายมงคล ได้อ่านแถลงการณ์ใจความตอนหนึ่ง ว่า ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญ ให้มีการอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ตามสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 68 จนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฝ่ายบริหารยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศและการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยข้อเท็จจริงพบว่ามีกำลังทหารของกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ในระยะทางถึง 200 เมตร พร้อมทั้งขุดแนวคูเลตซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย แม้จะมีสัญญาณที่ดีจากฝั่งกัมพูชายินยอมถอยกำลังทหารกลับออกไปแต่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่การแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างถาวร

นายมงคล กล่าวต่อว่า วุฒิสภาตระหนักถึงแนวทางในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทโดยสันติ แต่ต้องยืนบนหลักการแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจและเท่าเทียมกันในฐานะมิตรประเทศ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างเข้มแข็ง เพื่อรักษาเกียรติภูมิของประเทศโดยรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายและขอให้รัฐบาลยืนยันในการสงวนสิทธิ์ ไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ประธานวุฒิสภา กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้ ขอเรียกร้องไปยัง นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารให้ดำเนินการเปิดสมัยประชุมวิสามัญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 122 ประกอบมาตรา 175 เพื่อที่ ครม.จะได้ดำเนินการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ฝ่ายบริหารได้แถลงข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงสาเหตุของปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และเปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยได้ร่วมกันเสนอแนวคิดแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งต้องกระทำการอย่างเร่งด่วนเนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ไม่สามารถรอให้ถึงวันเปิดสมัยประชุมสามัญ ในวันที่ 3 ก.ค. 68 ได้

ประธานวุฒิสภา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ขอส่งกำลังใจให้ข้าราชการทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่พิพาท ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญอิสระและเข้มแข็งเพื่อรักษาเกียรติคุณของประเทศในการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งส่งกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา ให้มีขวัญและกำลังใจที่เข้มแข็งและเชื่อมั่นว่าผู้ที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติให้คงอยู่สืบไป ด้วยความเชื่อมั่นในศรัทธา “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”
เมื่อถามว่า มีกรอบเวลาให้รัฐบาลพิจารณาหรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า หากเป็นไปได้โดยเร็วที่สุดจะยิ่งดี อย่างน้อยเป็นพลังอันหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลได้มีความมั่นใจ และมีความมั่นคงว่า คนไทยทุกคน พร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจกันกับรัฐบาล ในการรักษาผลประโยชน์อำนาจอธิปไตยของประเทศไทย

เมื่อถามว่า ส่วนขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว มีการปรับกำพลในฝั่งกัมพูชาแล้วนั้น นายมงคล กล่าวว่า เป็นเพียงปรากฏการณ์สถานการณ์เฉพาะพื้นที่ ในหลักการจริงๆ แล้วยังไม่มีความชัดเจน เราจึงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของวุฒิสภาจะลงพื้นที่พบประชาชนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพื่อรับฟังความเห็นและสร้างความอบอุ่นใจให้แก่ประชาชน
เมื่อถามว่า เบื้องต้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางวุฒิสภามีข้อเรียกร้องอะไรถึงรัฐบาลเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำ นายมงคล กล่าวว่า เราใช้วิธีการปรึกษาหารือให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพราะนี่คือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เราในฐานะเป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต้องรับผิดชอบร่วมกัน

เมื่อถามว่า มีการกำหนดกรอบว่าจะต้องจัดประชุมวิสามัญภายในสัปดาห์นี้หรือภายใน 2 สัปดาห์นี้หรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณา ส่วนการบริหารจัดการของฝั่งไทยนั้น ตนเชื่อว่าในการทำงานโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายผู้ปฏิบัติในพื้นที่มีความชัดเจน ส่งผลให้การตัดสินใจของฝ่ายบริหารมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามว่า ผู้ปฏิบัติหน้างานทำได้ดีกว่าฝ่ายบริหารใช่หรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน มีการปรึกษาหารือกัน
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากมีการเปิดประชุมดังกล่าว จะมีการหารือถึงข้อพิพาท การแบ่งผลประโยชน์ทางทะเลหรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า คงเป็นทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ประชาชน เป็นบูรณภาพของประเทศ ที่ประชาชนต้องรับรู้และรักษาไว้

เมื่อถามต่อว่า การที่วุฒิสภาเรียกร้องให้มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญก่อน เพราะไม่ไว้วางใจการเจรจาของรัฐบาล เนื่องจากมีกระแสการใช้ความสัมพันธ์ของตระกูล “ชินวัตร” และ ตระกูล “ฮุน” ใช่หรือไม่นั้น นายมงคล กล่าวว่า เป็นคนละประเด็น ตนไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น เราเชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนรักบ้านเมือง ต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
เมื่อถามว่า หากว่ารัฐบาลไม่เปิดประชุมวิสามัญตามที่เสนอ จะทำอย่างไรต่อ นายมงคล กล่าวว่า ถือเป็นดุลพินิจของรัฐบาล หากดำเนินการได้ด้วยตนเอง สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อะไรก็เปลี่ยนไปได้ ส่วนข้อเสนอให้มีการตัดน้ำไฟ และท่อน้ำเลี้ยง ที่ส่งไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชานั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องของหน้างานอยู่กับผลของการเจรจา อีกทั้งทุกอย่างต้องทำภายใต้หลักเกณฑ์ ทุกเรื่องมีเหตุมีผลของมัน เราคิดแต่เพียงว่าคนไทยทุกคนพร้อมที่สนับสนุน รวมใจสร้างความสงบบนพื้นฐานของการไม่ใช้ความรุนแรง และรักษาความรักความสามัคคี รวมถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน.