หลังจากที่ จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JAS ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 6 ฤดูกาล พร้อมประกาศจับมือ AIS ร่วมกันถ่ายทอดสด จนเกิดเป็นกระแสฮือฮาในวงการถ่ายทอดสดฟุตบอลบ้านเรา
จากนั้นไม่นาน JAS และ AIS ประกาศจับมือกับ GULF บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ร่วมกันถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกเต็มระบบเป็นเวลา 4 ฤดูกาล แถมมีออพชั่นต่อได้อีก 2 ฤดูกาล
นี่คือ 2 เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนวงการถ่ายทอดสดกีฬาในประเทศไทยเป็นอย่างมาก และถือเป็นการ “เปลี่ยนขั้ว” ครั้งสำคัญ จากเดิม “ทรูวิชั่นส์” ที่ประกาศตัวมาตลอดว่าเป็น King of Sports มายาวนาน
เบื้องหน้า-เบื้องหลัง ดีลประวัติศาสตร์นี้เป็นอย่างไร จะส่งผลกระทบต่อวงการมากน้อยแค่ไหน อะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตาย และจะคุ้มค่าต่อการลงทุน ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่
วันนี้ เราไปวิเคราะห์พร้อมกัน
1) เบื้องหลัง และการเปลี่ยนมือ
- เมื่อ พ.ย. 2024 JAS (จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล / Monomax) เซ็นสัญญาลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ อังกฤษ ระยะยาว 6 ฤดูกาล (2025–26 ถึง 2030–31) ด้วยมูลค่าทุนราว 560 ล้านดอลลาร์ (19,170 ล้านบาท)
- สิทธินี้เป็นแบบ exclusivity ทุกแพลตฟอร์มในไทย ลาว กัมพูชา — ทรูวิชั่นส์ ไม่มีโอกาสถ่ายทอดซ้ำ
- ต่อมา JAS จับมือ AIS ลงนาม MOU เพื่อใช้ “AIS PLAY” และ Monomax เป็นช่องทางหลักเสริมช่องฟรีทีวีของตัวเองคือ “MONO 29”
- แพ็กเกจราคาประมาณไม่เกิน 300–400 บาท/เดือน รวมทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ซีรีส์ และหนังต่างประเทศ
- ต่อมาอีกไม่นาน กลุ่ม GULF–AIS–JAS ร่วมกันแถลงว่า ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก 1, 2, 3, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, ยู‑21 และฟุตบอลหญิง 1–2 เป็นเวลา 4 ฤดูกาล (2025/26–2028/29) พร้อมออพชั่นต่ออีก 2 ฤดูกาล
- มูลค่ารวมอยู่ที่ 1,400 ล้านบาท (350 ล้าน/ปี) + ค่าแพ็กผลิตสัญญาณไม่ต่ำกว่า 150 ล้าน/ปี รวมกว่า 2,000 ล้านบาทตลอดสัญญา
- พร้อมประกาศด้วยว่า AIS PLAY, Monomax และ MONO29 เปิดให้ดูฟรี เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้ AIS หรือซื้อแพ็กเกจของ Monomax อยู่แล้ว
- รายได้จากดีลนี้ จะถูกแยกจ่ายให้สโมสรไทยลีกทุกทีม พร้อมเงินสนับสนุนรายปีให้ทีมลีก 1 สูงถึง 15 ล้านบาทต่อทีม, ลีก 2 ได้ 4 ล้านบาท, ลีก 3 ได้ 1.25 ล้านบาทต่อทีม

2) จุดแข็ง
– แพลตฟอร์มหลายช่องทางและฟรีทีวี
การผนึกกำลังของ AIS PLAY, Monomax และ MONO29 ช่วยให้คอบอลเข้าถึงได้ทั้งแบบฟรี และผ่านแพ็กเกจราคาประหยัด ลดข้อจำกัดเรื่องการเป็นสมาชิกแบบพรีเมียมเท่านั้น
– เอาชนะทรูวิชั่นส์ได้สำเร็จ
นี่คือการชิงคอนเทนต์ “เรือธง” ทั้งพรีเมียร์ลีกและไทยลีกจาก TrueVisions ซึ่งเป็น “King of Sports” มาอย่างยาวนาน เป็นการได้ของระดับพรีเมียมมาครอบครอง และยังตัดคู่แข่งไปในตัวด้วย
– เครือข่าย AIS–GULF ช่วยด้านโครงข่าย
AIS มีฐานลูกค้าในมือจำนวนมาก และโครงข่าย 5G, อินเทอร์เน็ตบ้านมีประสิทธิภาพดี จะช่วยส่งไฟล์วิดีโอคุณภาพสูงแบบไม่สะดุด
– สนับสนุนฟุตบอลลีกไทยอย่างจริงจัง
เงินสนับสนุนทีมไทยลีกที่เพิ่มขึ้น จะช่วยให้สโมสรมีงบประมาณมากขึ้น พร้อมกับการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน VAR, ผลิตสัญญาณ HD ฯลฯ

3) ความเสี่ยง และความท้าทาย
ต้นทุนสูง (มาก) – JAS จ่ายลิขสิทธิ์รวมกว่า 21,000 ล้านบาทนาน 6 ปี จุดคุ้มทุนยากมากหากผู้ใช้บริการไม่เพิ่มตามเป้า
ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ชมให้ได้ – ต้องเข้าไปนั่งในใจคอบอล และช่วงชิงความนิยมมาจากทรูวิชั่นส์ และผู้ชมที่ชินกับช่องฟรีทีวีแบบเดิมให้ได้
บริการความเสถียร – ต้องมั่นใจว่า AIS PLAY และ Monomax รองรับทั้งรับชมพร้อมกันจำนวนมาก ๆ โดยไม่สะดุด ถ้ามีปัญหาตั้งแต่วันแรก ภาพลักษณ์จะเสียหายทันที
โมเดลรายได้ – รายได้หลักมาจากสมาชิกรายเดือน (หรือปี) และโฆษณาออนไลน์ — อาศัยให้ฐานผู้ใช้เติบโตอย่างรวดเร็ว

4) โอกาสสำเร็จ
ถ้าหาก Monomax สามารถเพิ่มยอดสมาชิกจาก 1.5 ล้านเป็น 3 ล้านบัญชีได้ตามแผน บวกกับ ฐานผู้ชม AIS Play เติบโตตามเป้า นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
การวางกลยุทธ์ถูกต้อง เช่น เสนอดีล ‘แพ็กคู่ EPL+ไทยลีก’ ในราคาไม่แพง และสอดประสานกับโปรโมชั่น AIS/3BB ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีดึงดูด
คุณภาพและ “ความล้ำสมัย” ในการถ่ายทอดสด เช่น HD/VAR, ฟีเจอร์เสริม, interactive สถานการณ์เกมสด เป็นสิ่งที่คนยุคใหม่ให้ความสนใจเป็นพิเศษ นอกจากเรื่องฟุตบอล
การตลาดที่เน้นทั้งกลุ่มผู้ใช้ AIS และคนทั่วไป (ช่อง MONO29) ก็จะช่วยสร้างกระแสให้แมสขึ้น
ถ้าทำทั้งหมดที่ว่ามาได้ดีในอีก 2–3 ปีข้างหน้า ทั้งเรื่องเทคโนโลยีการถ่ายทอดสด, สปีดเครือข่าย, แพ็กเกจที่คุ้มค่า และการใช้ประโยชน์จากช่องฟรีทีวี
มีโอกาสสูงที่ดีลนี้จะสำเร็จ และจะเป็นการเปลี่ยนสมรภูมิคอนเทนต์กีฬาในไทยอย่างแท้จริง

5) ศักยภาพของ AIS PLAY และ Monomax
ข้อได้เปรียบของ AIS PLAY ก็คือ ฐานลูกค้าจาก AIS กว่า 40 ล้านเลขหมาย (มือถือ) และ 2.3 ล้านครัวเรือน (AIS Fibre) จึงมีศักยภาพสูงมากในการขายของ
ส่วน Monomax จากเคยเน้นหนังจีน/ซีรีส์เกาหลี แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเน้น “กีฬา–ซีรีส์–หนังพรีเมียม” มากขึ้น จึงได้ทั้งลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามา
จุดได้เปรียบอีกอย่างก็คือ ความเสถียรโครงข่าย AIS ที่มีเครือข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ และเน็ตบ้านความเร็วสูง (น่าจะ) รองรับสตรีมสดแบบ Full HD–4K ได้ดี
แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องระวังก็คือ ระบบหลังบ้านทั้งหลาย จะต้องรองรับผู้ชมระดับหลักล้านพร้อมๆ กันได้โดยไม่ดีเลย์, กระตุก หรือกระทั่งค้าง ให้เสียอารมณ์
พูดง่ายๆ ว่า Monomax ยังต้องพัฒนาแอปให้ทันคู่แข่งอย่าง Netflix หรือ TrueID ให้ได้
และพวกเขาก็ยังไม่มีฟีเจอร์ล้ำๆ เช่น ดูย้อนหลังระหว่างไลฟ์, ดูพร้อมกันหลายกล้อง หรือสถิติแบบลงรายละเอียดลึกๆ แบบที่ DAZN และ Amazon Prime ทำได้

6) กลยุทธ์สุดเสี่ยงแต่คุ้ม?
สิ่งที่ต้องทำก็คือดึง “พลังของฟรี” (MONO29) ให้เป็นช่องทางหลักในการสร้างการตระหนักรู้ให้คนทั่วไป
ควบคู่ไปกับการใช้ AIS เป็น “ศูนย์รวมการแจกจ่าย” ทั้ง แจกฟรี, ซื้อแพ็กเสริม, โปรผูกเบอร์มือถือ/เน็ตบ้าน ให้ประชาชนเข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย
และการได้แบรนด์อย่าง GULF เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ และสปอนเซอร์ สามารถได้ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างภาพลักษณ์ให้ไฮเอนด์ในระดับโลกได้ไม่ยาก
ในเมื่อมีของในมือทั้ง “บอลไทย+บอลนอก” ถ้าหากไม่เน้นการทำตลาด และขายควบคู่กันไปก็ถือว่าน่าเสียดาย และถ้าทำได้จะได้ฐานแฟนบอลครอบคลุมทั้งประเทศ ทั้งคนชอบบอลไทย และบอลนอก
แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องบริหาร เช่น ค่าใช้จ่ายที่จะสูงมาก จึงต้องทำรายได้จากโฆษณา และสมาชิกได้เร็ว ไม่เช่นนั้น อาจจะแบกต้นทุนไม่ไหว
นอกจากนั้น อย่าลืมว่า ดีลนี้ได้แบกความคาดหวังจากแฟนบอลเอาไว้สูงลิบ ถ้าเกิดปัญหาสตรีมหลุด, ดีเลย์, ภาพไม่ชัด อาจเสียความน่าเชื่อถือได้ไม่ยากเลย
และตลาดการแข่งขัน OTT ในปัจจุบันนั้นดุเดือดมาก เจ้าใหญ่อย่าง YouTube, Facebook (ถ้ากลับมาลงตลาดกีฬา), Netflix, Disney อาจจะแย่งเวลาและเงินจากผู้ชมไปได้
จึงเป็นการบ้านว่าจะทำยังไงให้แบ่งเวลาจากยักษ์เหล่านี้มาได้

บทสรุป
ถ้า JAS–AIS รักษาคุณภาพการถ่ายทอด และสร้างโมเดลการรับสมาชิกที่ราคายุติธรรม บวกกับโปรพ่วงเบอร์ AIS หรือ AIS Fibre ได้อย่างลื่นไหล จะเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่เขย่าตลาดทีวี-กีฬาไทยได้อย่างรุนแรง
แรงถึงขนาดที่บอกได้เลยว่า “ดีลนี้คือเดิมพันครั้งใหญ่ ที่มีโอกาสเปลี่ยนเกมได้”.