นายสรเทพ สตีฟ ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษากิติมศักดิ์ สมาคมโฮสเทล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารยังเป็นธุรกิจที่ติดอันดับหนึ่งใน 3 ที่ปิดตัวมากที่สุด และที่น่าตกใจที่สุดและน่าห่วงที่สุด เป็นธุรกิจร้านอาหารระดับล่างที่มีการปิดหรือเจ้งมากขึ้นล่ามขึ้นมาถึงร้านระดับกลางและที่เป็นเอสเอ็มอีเห็นอย่างชัดเจนตามโซนต่างๆ มีการติดป้ายเซ้งจำนวนมาก รวมไปถึงตามแหล่งท่องเที่ยวด้วย
ทั้งนี้ชมรมผู้ประกอบอาหารธุรกิจร้านอาหารได้ทำเรื่องเสนอไปทางรัฐบาลถึงผลกระทบของธุรกิจมาโดยตลอดตั้งแต่ปลาย ปี 67 เนื่องจากประเมินว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีนโยบายใดของรัฐบาลออกมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจโดยรวมหรือแม้กระทั่งธุรกิจร้านอาหารเลยปัญหาหลักที่ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารเจอ ณ เวลานี้คือกำลังซื้อของประชาชนที่หดหายไปบวกกับนักท่องเที่ยวที่หายไปโดยภาพรวม 14% โดยเป็นตลาดจีนที่หายไปทั้งหมด 35%
ขณะเดียวกันปัญหาที่สำคัญคือราคาวัตถุดิบต้นทุนที่ขึ้นขึ้นขึ้นจนผู้ประกอบการหลายรายไม่สามารถไปต่อได้จนทำให้ต้องปิดตัวไปเยอะมากจะเห็นได้จากวงจรธุรกิจของร้านอาหารโดยปกติ 60% จะปิดตัวในหนึ่งปีแต่ว่าวันนี้วงจรของร้านอาหารมันสั้นลงทุกวันเนี่ยเมื่อมีร้านปิดก็จะมีร้านเปิดใหม่โดยเฉพาะร้านอาหารระดับล่างซึ่งเป็นวงจรร้านอาหารแต่อายุของมันสั้นลงจากเดิมที่หนึ่งปีจะปิดตัวหรือเจ้งตอนนี้จะเหลือแค่ 6-7 เดือนก็ไม่ไหวแล้ว เพราะมาเจอปัญหาวิกฤติของต้นทุนไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปาล์มน้ำตาลแม้กระทั่งค่าไฟเองก็ตามรวมไปถึงพืชผักสวนครัวเนื้อหมูก็ยังขึ้นไข่ไก่ก็ยังขึ้น
นอกจากนี้จากปัญหาที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบกับบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารเช่นพนักงานขนส่งมอเตอร์ไซค์ รถตุ๊กตุ๊ก มีงานวิ่งน้อยลงหรือบางรายไม่มีงานเลย แต่ที่ชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารเป็นห่วงมากที่สุด ผลกระทบกำลังลามไปไปกระทบถึงภาคแรงงานซึ่งเป็นวงที่น่ากลัวที่สุดหากกระทบไปถึงภาคแรงงาน โดยเริ่มเห็นได้จากธุรกิจอุตสาหกรรมซึ่งปิดตัวปิดโรงงานตกงานกันลงหลายแห่ง และธุรกิจร้านอาหารไม่จ้างคนเพิ่มรวมถึงหากคนออกก็จะไม่จ้างเพิ่มเช่นกัน เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเพราะหนี้ครัวเรือนปัจจุบันอยู่ที่ 104% เมื่อคนตกงานมากขึ้นสถานการณ์นอกจากปัญหาทางเศรษฐกิจแล้วจะกลายเป็นปัญหาทางด้านสังคมกับประเทศไทยมากขึ้นไปด้วย