สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ว่า การโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่าน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการตอบโต้ หรือการยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ของรัฐบาลเตหะรานเท่านั้น หากแต่เป็นการส่งสัญญาณทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลัง ถึงความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และอาจมีผลต่อโครงสร้างอำนาจของภูมิภาคและระเบียบโลกในระยะยาว


วัตถุประสงค์ของอิสราเอลนั้น ไม่ได้หยุดอยู่แค่การถ่วงเวลาการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ยังรวมถึงความพยายามในการ “เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง” โดยอาศัยแรงกระเพื่อมจากภายในอิหร่านเอง


อิสราเอลให้เหตุผลทางยุทธศาสตร์ว่า การโจมตีในรอบนี้มุ่งหวังจะทำลายศักยภาพทางเทคนิคของอิหร่านในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยมีการทำลายโรงงานเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ระบบป้องกันทางอากาศ และฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางนิวเคลียร์ รวมถึงสังหารนักวิทยาศาสตร์และทหารระดับสูงหลายนาย ที่มีความเกี่ยวข้องกับโครงการทั้งหมด

อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลใช้ปฏิบัติการทั้งทางลับและเปิดเผย เพื่อขัดขวางการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ที่การโจมตีครอบคลุมเป้าหมายจำนวนมากภายในเวลาเดียวกัน และส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงภายในอิหร่าน


การเลือกเป้าหมายของอิสราเอล ซึ่งเน้นไปที่ทหารระดับสูงในกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) การแถลงของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูู ผู้นำอิสราเอล ที่สื่อสารโดยตรงถึงประชาชนชาวอิหร่าน ตลอดจนความพยายามลดความเสียหายต่อพลเรือน บ่งชี้ถึงความหวังของอิสราเอล ที่อยากเห็นประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี และรัฐบาลเตหะราน


เนทันยาฮูกล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในครั้งนี้ “ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์” เมื่อบรรลุเป้าหมาย อิสราเอลจะเปิดโอกาสให้ชาวอิหร่าน สามารถ “บรรลุเป้าหมาย” ด้านเสรีภาพของตัวเองด้วย อิสราเอลกำลังต่อสู้เพื่อต่อต้านระบอบการปกครองที่โหดร้าย เพราะเป็นการกดขี่และทำให้ชาวอิหร่านต้องยากจน พร้อมทั้งย้ำว่า “โอกาสกำลังมาถึงแล้ว” และเน้นว่า ปฏิบัติการครั้งนี้จะดำเนินต่อไป “ตราบเท่าที่มีความจำเป็น”

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล สนทนากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน 7 เม.ย. 2568


แม้กระแสต่อต้านของชาวอิหร่านที่มีต่อรัฐบาลของตัวเองจะเพิ่มขึ้นและมีความชัดเจนอย่างมาก ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ เสรีภาพ และสิทธิสตรี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีวี่แววว่าฝ่ายต่อต้านจะสามารถรวมพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อโค่นล้มระบอบการปกครองแบบศาสนานิยมได้ แม้เผชิญกับแรงสั่นคลอนอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของรัฐอย่างแท้จริง


ขณะที่การตอบโต้ของอิหร่านมีรูปแบบจำกัด คือการยิงขีปนาวุธโจมตีบางภาคส่วนของอิสราเอล แม้ทำเนียบขาวจะยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนโดยตรงกับการโจมตีของอิสราเอล และเน้นย้ำว่า “เป็นปฏิบัติการฝ่ายเดียว” ของอิสราเอล แต่การที่ระบบป้องกันของสหรัฐช่วยสกัดขีปนาวุธและอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของอิหร่าน พร้อมทั้งมอบความสนับสนุนด้านข่าวกรองให้แก่อิสราเอลอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสัญญาณชัดเจนถึงจุดยืนของสหรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงสงวนท่าทีอย่างชัดเจน ต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของอิหร่าน ด้วยเหตุผลเชิงนโยบายการทูตแบบ “อเมริกัา เฟิร์สต์” และความระมัดระวังตัวที่จะไม่ถูกดึงเข้าไปในวังวนของ “สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด” อีกครั้ง


แม้ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในอิหร่าน เป็นสิ่งที่อิสราเอลปรารถนามานาน แต่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการบริหารภายในอิหร่าน “อย่างฉับพลัน” อาจกลายเป็นการสร้างสุญญากาศทางอำนาจที่นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพมากกว่าเดิม เช่นเดียวกับบทเรียนจากอิรัก ลิเบีย หรือซีเรีย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการโค่นล้มระบอบเผด็จการ หรือการผูกขาดอำนาจภายใต้ผู้นำคนหนึ่งคนใดเป็นเวลานาน ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลใหม่จะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นมิตรต่อประเทศเพื่อนบ้าน และมหาอำนาจอย่างสหรัฐ “เสมอไป”

ทั้งนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถรับประกันหรือเป็นหลักประกันได้เลยว่า ในกรณีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอิหร่าน ผู้นำกลุ่มใหม่จะมีท่าทีแข็งกร้าวมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจหลายเป็นการเปิดฉากความขัดแย้งรูปแบบใหม่ที่รุนแรงยิ่งขึ้นด้วย


นอกเหนือจากอิหร่านและอิสราเอล ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน รัสเซีย และซาอุดีอาระเบีย ต่างจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด แม้ไม่แสดงออกมานักก็ตาม เนื่องจากการลุกลามของความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน เสถียรภาพด้านพลังงาน และดุลอำนาจระหว่างขั้วอำนาจโลก

จีนอาจมองว่า สหรัฐและพันธมิตรกำลังถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากไต้หวัน ขณะที่รัสเซียอาจใช้โอกาสนี้เร่งเดินเกมในยูเครนให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การที่สหรัฐต้องสนับสนุนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง อาจกลายเป็นการลดบทบาท “ในการแทรกแซง” พื้นที่ขัดแย้งหลายจุดทั่วโลกของรัฐบาลวอชิงตันลดลงโดยปริยาย


“ผลลัพธ์สุดท้าย” ของวิกฤติการณ์อิสราเอล-อิหร่าน ยังยากที่จะคาดการณ์บทสรุป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แน่นอนคือ โลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดูเหมือนเป็นเพียงการโจมตีทางทหารเพียงครั้งเดียว แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นสะเทือนระเบียบโลกในระดับ “หยั่งรากลึก”


ความหวังของอิสราเอลในการยุติภัยคุกคามจากอิหร่าน ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง อาจเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น หากไม่คำนึงถึงปัจจัยภายในประเทศและการตอบสนองของประชาคมโลก การถ่วงเวลาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อาจสำเร็จในระยะสั้น แต่จะนำไปสู่สันติภาพระยะยาวหรือไม่ ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES