การเมืองยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง หลัง “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศจะฮุบกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ไว้ให้ “พรรคเพื่อไทย” ดูแลเอง พร้อมมีข่าวปล่อยกดดัน “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ให้ปรับแบบรายชั่วโมง
ด้าน “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย วันนี้สุดทน ประกาศวัดใจ หากหลุด มท1. ก็พร้อมยก สส. 69 เสียงเป็นฝ่ายค้าน
สอดรับกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่เป็นพรรคอกแตก จาก 36 เสียง แบ่งเป็นปีก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯและรมว.พลังงาน ฐานะหัวหน้าพรรค 18 เสียง และ กลุ่ม “สุชาติ ชมกลิ่น” รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรค 18 เสียง
“วิทยา แก้วภราดัย” สส.บัญชีรายชื่อ รทสช. ปีกของหัวหน้าพรรค ประกาศกร้าว หากถูกยึดโควตา รมว.พลังงาน และ รมว.อุตสาหกรรม พร้อมเป็นฝ่ายค้าน
ฉะนั้นหากถอนตัวจริงเสียงจากฝ่ายรัฐบาลจะหายไป 87 (69+18) เสียงทันที ขณะที่เดิมรัฐบาลมีเสียงประมาณ 330 เสียง จะเหลือเพียง 243 เสียง
ขณะที่องค์ประชุมสภากึ่งหนึ่งคือ 248 เสียงจากสส.ในสภา 495 เสียง เรียกได้ว่า รัฐบาลจะตกมาอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงเสียงข้างน้อย ไม่นับ สส.พรรคประชาธิปัตย์ อีก 5 คน นำโดย “ชวน หลีกภัย” จะถือโอกาสแหกค่ายตามมาด้วยหรือไม่
จึงเป็นหน้าที่ “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคสาขา” จะต้องหาเสียงงูเห่าเข้ามาเพิ่มได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้าก็ถูก พรรคสีน้ำเงิน ดักทางไว้ล่วงหน้า
หลังปรากฏภาพ “เนวิน ชิดชอบ” ครูใหญ่แห่งค่ายสีน้ำเงิน ร่วมรับประทานอาหารกับ “สันติ พร้อมพัฒน์” ปิดดีล 6 สส.กลุ่มมะขามหวาน
รวมถึงยังมี อีก 2 สส.อุดรธานี พรรคไทยสร้างไทย หลังมีกระแสข่าว “อนุทิน” จะบินไปเปิดตัวในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ ทั้งที่ก่อนหน้า สส.มะขามหวาน และ สส.ไทยสร้างไทย เคยถูกนำไปเคลม และนำไปสร้างราคา กับ “นายใหญ่” แต่ท้ายสุดวืดไปตามระเบียบ
ไม่นับไพ่ในมือของ “ครูใหญ่” จะมีอะไรอีกหรือไม่ เช่น งูเห่าสีแดง ที่เริ่มปล่อยข่าวออกมาอาจย้ายค่าย เพราะมั่นใจสถานการณ์ของ “นายใหญ่” รวมถึงกลไกของ สว. สีน้ำเงินอีกประมาณ 138 เสียง ที่เปลี่ยนมาจับมือกับฝ่ายค้าน เดินหน้ารบกับรัฐบาลทุกลมหายใจ
กลับมาที่ “พ่อนายกฯ” เล่นเกมหักดิบในรัฐบาล ก็กำลังเผชิญวิบากกรรมไล่ล่า และสุ่มเสี่ยง ที่จะถูกจับไปติดคุกหรือไม่
เมื่อ “ศาลฎีกาฯ” นัดไต่สวนคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจนัดแรก เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา และมีการกำหนดไต่สวนพยานเพิ่มอีก 20 ปาก ในวันที่ 4,8 และ15 ก.ค. อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าคดีจะใช้เวลาอย่างรวดเร็ว
แต่ที่น่าห่วงกว่านั้น “ศาลฎีกาฯ” ยังให้ “ป.ป.ช.” ส่งรายงานการสอบสวนของ “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ” (กสม.) ที่เคยมีรายงานเพิกถอนคำสั่งอนุญาต “ทักษิณ” รักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ให้เป็นการกระทำที่ใช้บังคับไม่ได้ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะเป็นการเอาเปรียบนักโทษคนอื่นๆ และทำลายกระบวนการยุติธรรม มาพิจารณา
รวมถึงมติที่ประชุมแพทยสภา ที่เดินหน้าหลังหักวีโต้ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะ “สภานายกพิเศษ” ลงโทษ 3 หมอด้วยคะแนน 68 คน จาก 70 คน โดย ไม่หวั่นต่อแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และมีน้ำหนักยืนยันข้อเท็จจริงว่า มีกระบวนการ “ป่วยทิพย์” เกิดขึ้นจริง
ซึ่งกระบวนการของ “ศาลฎีกาฯ” เมื่อมีคำสั่งเช่นนี้ จึงเชื่อว่า เป็นนัยสำคัญ ว่า คดีมีมูล และเห็นว่าการบังคับโทษของกรมราชทัณฑ์นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แตกต่างจากฝ่าย “ทนายทักษิณ” ที่ยึดกฎหมายราชทัณฑ์ว่า “บังคับโทษครบถ้วนแล้ว ไม่ต้องกลับไปติดคุกซ้ำ”
ด้วยปัญหารุมเร้าทางการเมืองที่สองพรรคร่วมรัฐบาลยื่นข้อเสนอพร้อมแตกหัก เป็นสัญญาณร้อน พ่อ-ลูก ตระกูลชินวัตร กำลังถูกต้อนเข้ามุมอับ จึงเป็นเรื่องน่าห่วงว่า “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” จะเอาตัวรอดได้อย่างไร จะยอมกลืนเลือด ไม่ปรับเก้าอี้ตามใจพ่อ หรือเลือกหักดิบสู่โหมด “ยุบสภา” ///