เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 17 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงการประชุมศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ในช่วงบ่ายวันที่ 17 มิ.ย. ว่า ปัจจุบันคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดเฉพาะกิจ อยู่ระหว่างการยกร่าง และอยู่ในขั้นการประสานงาน และคาดว่า จะเสร็จเรียบร้อยภายในวันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน และบ่ายนี้จะมีการประชุมเพื่อตรวจสอบว่าแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งใครมาร่วม ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวง ผู้แทน ผบ.หน่วย ระดับปลัด หรือเทียบเท่า ซึ่งต้องเป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจได้ทันที เพื่อที่จะได้รับทราบแนวทางการทำงานต่อไป สำหรับมาตรการเพื่อสนับสนุนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา (RBC) ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน มิ.ย.นี้ เพื่อปรับลดกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ ซึ่งคงต้องหารือกัน แต่เป้าหมายที่จะตั้งศูนย์นี้ขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อน และบูรณาการงานที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า พร้อมทั้งรับทราบและติดตามงานที่จะต้องใช้ระยะเวลา เช่น การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (JBC) และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่ยืนยันว่า ศูนย์ดังกล่าวไม่ควรอยู่นานเกิน 1 เดือนด้วยซ้ำ และจะพยายามทำให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ศูนย์ดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การปิดด่านบ้านแหลมและด่านผักกาด จ.จันทบุรี ทำให้ไม่สามารถขนส่งผลไม้ไทยข้ามแดนไปได้ ซึ่งตนได้เสนอนายกฯ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้กระทรวงพาณิชย์ รับซื้อผักผลไม้ทั้งหมด รวมถึงเชิญชวนภาคเอกชนมาช่วยซื้อ ซึ่งปัจจุบันนายภูมิธรรมได้ประสานกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรือในอนาคต ทางกัมพูชาปิดด่านอื่นไม่ให้นักเรียนเข้ามาเรียนหนังสือ ก็ต้องหารือกับกระทรวงศึกษาธิการในการแก้ไขปัญหา นี่ถือเป็นความจำเป็นที่ต้องตั้งหัวหน้าแต่ละหน่วยงานเข้ามาอยู่ในศูนย์เฉพาะกิจนี้
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ศูนย์ดังกล่าวจะมีการตั้งโฆษกเพื่อชี้แจงข่าวสารเชิงรุก โดยตั้ง พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพไทย และรองโฆษกกองทัพไทย ทำหน้าที่โฆษกรับผิดชอบการแถลงข่าวงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง และอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงด้านงานต่างประเทศ ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ชี้แจงในทุกประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นในโซเชียล หรือกรณีสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ออกมาโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียแบบรายวัน เพื่อชี้แจงประชาชนให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่ 18 มิ.ย. เป็นต้นไป ส่วนชื่อศูนย์กำลังให้กฤษฎีกาตรวจสอบให้อยู่ แต่ปัจจุบันใช้คำว่า ทีมไทยแลนด์ก่อน โดยจะใช้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นสถานที่ทำงาน และจะใช้ตึกนารีสโมสรเพื่อแถลงข่าว และจะมีการประชุมกันในเวลา 09.30 น. ของทุกวัน ซึ่งยอมรับว่า การทำงานจะคล้ายกับศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด–19 (ศปก.ศบค.) ที่ผ่านมา แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะมีทั้งงานเฉพาะหน้า และงานระยะยาว แต่ยืนยันว่า ศูนย์ดังกล่าวจะไม่ก้าวก่ายงานของหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ
เมื่อถามว่า ศูนย์ดังกล่าวมีอำนาจในการพิจารณามาตรการตอบโต้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ก็ไม่เชิง หากเป็นมาตรการที่อยู่ในอำนาจที่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมา เราดำเนินการอยู่แล้ว และมีการรวมตัวมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่มาทำให้เป็นรูปแบบที่เป็นทางการ มาตรการตอบโต้บางอย่างก็จำเป็น หากทางกัมพูชาดำเนินการบางสิ่งบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อจุดผ่านแดนตามแนวชายแดน แต่อำนาจดังกล่าวต้องเสนอไปยังนายกฯ ให้รับทราบและตกลงกัน นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลกัมพูชาได้ขอให้ฝั่งไทยทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนและประชาชน หรือสื่ออื่นๆ ไม่ให้เสนอข่าวสร้างความเกลียดชัง แต่ได้ชี้แจงไปว่าประเทศไทยให้อิสระเสรี กับสื่อและประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะต่างกับทางกัมพูชาที่มีการเสนอเป็นแนวทางเดียวกัน
“แต่อย่างไรก็ตาม อยากขอสื่อและประชาชนอย่านำเสนอให้เกิดความเกลียด เพราะคนกัมพูชาส่วนหนึ่งก็ทำงานอยู่ที่ประเทศไทยหลักแสนคน และอีกทั้งคนกัมพูชาทั้งประเทศ ไม่ได้คิดแบบนั้นเสมอไป จึงอยากให้ช่วยกัน เพราะทุกคนคงรู้ว่าเหตุการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะคนกัมพูชาทั้งประเทศหรือไม่ การไปสร้างความเกลียดชังคนกัมพูชาทั้งหมดไม่น่าจะถูกต้อง” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
เมื่อถามว่า ที่จังหวัดสระแก้วห้ามคนไทยเดินทางข้ามไปกาสิโนฝั่งกัมพูชา เป็นมาตรการตอบโต้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าเป็น 1 ใน 4 มาตรการ เรื่องการเปิด-ปิดด่าน ตนยืนยันว่า เราเปิดด่านตลอดเวลา เพียงแต่กำหนดเวลาเปิด-ปิด จึงไม่อยากให้ใช้คำว่าปิดด่าน เพราะทางฝ่ายกัมพูชาหยิบไปเป็นประเด็น ยืนยันว่า เราคิดถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองฝั่ง เพราะเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาเรื่องดังกล่าว ถึงแม้ว่า คนของกัมพูชาจะเชื่อทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ก็มองว่า ชาวกัมพูชาอีกส่วนหนึ่งไม่น่าจะมีความคิดเช่นนั้น ขอวิงวอนให้สื่อลงข้อมูลให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นตนก็จะโดนโจมตีว่าเป็นคนไทยหัวใจเขมรเหมือนที่ผ่านมา