หลังจากยึกยักอยู่นาน ในที่สุดก็ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยยึดเก้าอี้ รมว.มหาดไทยคืนจากพรรคภูมิใจไทย และให้พรรคภูมิใจไทยไปเป็นฝ่ายค้าน จากที่วันที่ 17 มิ.ย. “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร มอบหมายให้ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปพบกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อเจรจาขอคืนกระทรวงมหาดไทย โดยเอากระทรวงสาธารณสุข และพ่วงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีก 1 ตำแหน่ง แต่นายอนุทิน ตอบปฏิเสธทันทีอย่างชัดเจน ว่า “ไม่รับ”

เช่นนั้นแล้ว หมอมิ้งก็ได้โทรศัพท์รายงานพ่อนายกรัฐมนตรีทันที ทำให้เริ่มจัดขบวน ครม. “อิ๊งค์ 2” ใหม่ ปรับภูมิใจไทยออก โดยพรรคเพื่อไทยประเมินว่าจะได้เก้าอี้เพิ่มอีก 2 ตำแหน่ง ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่น เริ่มใช้สัดส่วนของโควตางูเห่าที่เข้ามาผนวกของกลุ่มของตัวเอง ใช้สูตรนับจำนวน สส.ต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี คาดว่าจะจบปรับครม. “อิ๊งค์ 2” ภายในสัปดาห์นี้ อย่างเร็วที่สุด วันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะไม่มีรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยอีก
ที่สนามกีฬา จ.นนทบุรี เสี่ยหนูให้สัมภาษณ์ว่า นพ.พรหมินทร์ มาหารือกันและบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็นอยากจะบริหารกระทรวงมหาดไทยเอง ตนได้ปฏิเสธไปเพราะมันผิดข้อตกลง แต่ นพ.พรหมินทร์ บอกว่าเป็นความต้องการของพรรคเพื่อไทย โดยใช้คำว่า “ไพ่ใบสุดท้าย” ตนก็ย้ำว่า ให้ไม่ได้ มันเป็นข้อตกลงในการสนับสนุนรัฐบาล

“ที่ สส.เพื่อไทยอย่างว่า มหาดไทยไม่สนองนโยบายรัฐบาลนั้น ไม่จริง พูดอะไรมาผมตอบได้หมด และเมื่อตอบได้หมด สุดท้ายเขาก็บอกว่าพูดกันตรงๆ เลยอยากได้กระทรวงมหาดไทยกลับคืนไป ผมก็บอกพูดกันตรงๆ ว่าให้ไม่ได้ เราพร้อม (เป็นฝ่ายค้าน) ไม่เคยคิดว่าจะเดินมาถึงจุดนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย เพราะคิดว่าทุกคนจะรักษาข้อตกลง แต่ไม่เป็นไร ถ้าข้อตกลงรักษากันไม่ได้ เราก็ต่างคนต่างไป นี่คือการหักข้อตกลงจากความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าข้อตกลงที่เป็นข้อเขียนด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่พรรคภูมิใจไทยไม่ทำตามข้อตกลงแม้แต่อย่างเดียว”
ส่วนที่เพื่อไทยมั่นใจว่าจะมีเสียงมาเติมรัฐบาลนั้น ตนเชื่อมั่นว่าไม่มีนายกฯ คนไหนที่อยากมีโครงสร้างรัฐบาลที่อยู่ได้เพราะเอางูเห่ามาค้ำยัน ได้ข่าวมาว่ามีคนพูดว่าไปก่อนแล้วค่อยเอางูเห่ามา แต่ไม่เหมาะสม รัฐบาลควรมีองค์ประกอบที่เป็นนักการเมืองที่เริ่มต้นด้วยกันมาตั้งแต่แรก

ในช่วงบ่าย ต่อมา นายกฯ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล มาร่วมด้วย นายอนุทินกล่าวกับสื่อมวลชนว่า “ให้ทีมงานเก็บของออกจากกระทรวงมหาดไทย เพิ่งสั่งไปเมื่อเช้า ไม่มีอะไรต้องเคลียร์ใจกับนายกฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้อตกลง แต่เราไม่รับเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป ส่วนตำแหน่งรองประธานสภา และรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ต้องลาออกด้วยหรือไม่นั้น ก็จะต้องไปคุยกับ “รองแบต” ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2”
“ผมก็เผลอไปพูดว่าไม่เป็นอะไรนะ คุณก็ยังเป็นรองประธานสภา อย่างน้อยถึงแม้เราจะไปเป็นฝ่ายค้านก็ยังมีรองประธานสภาอยู่ รองภราดรก็บอกว่า เขาจะลาออกด้วย เขาจะลงมาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ซึ่งมันก็ดีจะได้ไม่มีอะไรที่มันค้างคา เพราะถ้าเราไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็เพื่อความสบายใจ ไม่อย่างนั้นหากมีความขัดแย้ง เดี๋ยวใครจะมาบอกว่า ทำไมไม่ลาออกรองประธานสภาให้หมด ก็เลยลาออกไปเลย เมื่อเราไม่ได้อยู่ฝั่งรัฐบาลแล้ว เราก็ไปอยู่ฝั่งตรวจสอบเต็มตัว มีคนปรามาสเยอะว่าพรรคภูมิใจไทยไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน เดี๋ยวจะทำให้ดู เดี๋ยวผมจะไปฝึกกับ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.)”

“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อครั้งเจรจาร่วมรัฐบาล ตัวแทนพรรคเพื่อไทยในการเจรจา มีตน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น ทุกพรรคที่คุย มีประเด็นเดียวคือ ไม่มีเรื่องแก้ ม.112 ก็ร่วมรัฐบาลกันได้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า มีพูดคุยแค่เรื่องกระทรวง คิดว่า นายกฯ อาจเข้าใจผิด เพราะนายกฯ ไม่ได้คุยในวันนั้น เราเพียงแต่คุยกันว่า ตกลงร่วมรัฐบาลได้หรือไม่ เกือบทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลไม่เอาแก้ ม.112 ที่เรียกปฏิญญาช็อกมินต์ ก็คือไม่เอาแก้ ม.112 เรื่องแบ่งกระทรวงอยู่ที่การตั้งรัฐบาล ต้องมีการคุยอยู่แล้ว เป็นก้าวต่อไป ซึ่งมีเงื่อนไขของแต่ละพรรคต่างๆ นานาไป เรื่องเกลี่ยกระทรวงใหม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สำหรับเหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยไม่ยินยอมให้เก้าอี้กระทรวงมหาดไทยกับพรรคเพื่อไทย เนื่องจากไม่อยากให้มีการเดินหน้านโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยและครูใหญ่ของพรรคไม่เห็นด้วย และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนและเห็นเห็นด้วยกับจุดยืนนี้ และยังเชื่ออีกว่า อาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในขั้วของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค รทสช.มาร่วมเป็นฝ่ายค้าน

สำหรับตัวเลข สส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ที่อาจจะมีการเปลี่ยนหากมีการปรับ ครม. “อิ๊งค์ 2” โดยไม่มีพรรคภูมิใจไทย ปัจจุบันมี สส.ปฏิบัติหน้าที่จำนวน 495 คน ทันทีที่ 69 เสียงของพรรคภูมิใจไทย ไปเป็นฝ่ายค้าน จะทำให้ สส.ฝั่งรัฐบาลเหลือ 255 เสียง ขณะที่ สส.ฝ่ายค้าน เพิ่มขึ้นมาเป็น 240 เสียง แต่เป็นกรณีที่ยังไม่รวมเสียงของ “สส.งูเห่า” ซึ่งขณะนี้ มีสส.งูเห่าที่เปิดหน้าชัดเจน จำนวน 8 คน ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย 5 คน พปชร. 1 คน พรรคไทยก้าวหน้า 1 คน และพรรคประชาชน 1 คน ในจำนวน 8 คน นี้ เป็นของพรรคเพื่อไทย และพรรคกล้าธรรม 6 คน ส่วนอีก 2 คน เป็นของพรรคภูมิใจไทย ทำให้สูตรตัวเลข สส.ของรัฐบาล เมื่อรวม จำนวน สส.งูเห่า 6 คน จะเพิ่มเป็น 261 เสียง ขณะที่ตัวเลข สส.ฝ่ายค้าน จะเหลือ 234 เสียง เกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม คือ 248 เสียง มาเพียงแค่ 13 เสียง ถือว่าอยู่ในโซนอันตราย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์กรณีสำนักงบประมาณมีหนังสือถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณวงเงิน 5.1 หมื่นล้านบาทจากงบกลางปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ให้ถอนการอนุมัติ และให้ทบทวนความจำเป็นในการใช้งบประมาณ ว่า ไม่ได้เป็นการริบเงิน เพียงแต่แค่มีหนังสือแจ้งไปว่า อย่าเพิ่งดำเนินการ ซึ่งเป็นหนังสือจากสำนักงบประมาณไปยังเขตพื้นที่หนึ่ง ที่ตนจำไม่ได้ว่าเป็นเขตพื้นที่ใด

ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจ้งเรื่องรับไต่สวนการทุจริตแผนการใช้งบ จัดการทรัพยากรน้ำปี 2568 จำนวน 5.1 หมื่นล้านบาท ที่ถูกยื่นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 (การแปรญัตติงบประมาณ) ซึ่งเป็นงานที่นายประเสริฐเป็นผู้อนุมัติ นายประเสริฐ กล่าวว่า ยังไม่มีการแจ้งอะไรมา ท้องถิ่นยังไม่เบิกจ่าย และเราได้มีหนังสือแจ้งไปว่า อย่าเพิ่งดำเนินการ
“เรากังวลในการช่วยเหลือประชาชน เรื่องนี้จะต้องมีความชัดเจน ส่วนผู้ร้องที่บอกว่า มีการเอางบประมาณไปลงพื้นที่ สส.พรรคเพื่อไทย ผมยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะเป็นงบกลางไม่ได้เกิดจากการแปรญัตติ แต่เป็นงบที่คำนึงถึงความเดือดร้อนประชาชน ซึ่งกระจายตัวทุกพื้นที่ ไม่ได้มีแต่พรรคเพื่อไทย และขั้นตอนต่างๆ ที่ สส.ไปเกี่ยวข้องได้ แทบปิดประตูตาย ไม่มีเลย ขอให้สบายใจ เรื่องนี้พอทราบอยู่ว่า ใครอยู่เบื้องหลัง แต่ผู้ร้องไม่ใช่คนมีตำแหน่งอะไร”
ที่รัฐสภา “สส.ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือด่วนถึงอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) เตือนชงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ขาดความรอบคอบ เปิดช่องเรียกรับผลประโยชน์ ว่า เข้าใจว่าหลังจากนี้หากดูแค่คำขอก็เห็นความผิดปกติแล้ว โดยเฉพาะของกระทรวงมหาดไทยที่มีเหตุการณ์แบบเดิม มีการกระจุกตัวอยู่ในบางจังหวัดที่มี สส. ในฟากฝั่งของกระทรวงมหาดไทย แต่เราก็นั่งนิ่งๆ ดูก่อน เพราะเป็นแค่คำขอยังไม่ได้ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง เมื่อผ่านแล้วเราจะเรียกมาดูทั้งหมด เพื่อจะได้รู้ว่าที่ สตง.เตือนนั้น ได้ฟังกันบ้างหรือไม่ แล้วจะได้ทำการตรวจสอบต่อไปว่ามีพิรุธอะไรบ้าง การเตือนช่วงนี้ก็อาจเป็นเกมการเมืองได้

ส่วนกรณีพรรคภูมิใจไทยมาเป็นฝ่ายค้าน เห็นว่า เสียงฝ่ายค้านเยอะขึ้นเป็นผลดี และคงใกล้กันมากขึ้นระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล อำนาจต่อรองของฝ่ายค้านเพิ่มขึ้นมาก ในส่วนของ ปชน. เราคงทำได้แค่ให้ สส. ของเรามีจิตใจเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวกับอะไรต่างๆ ที่เข้ามา ยึดถืออุดมการณ์และหลักการเมือง
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ผู้ว่า สตง. ส่งหนังสือถึงอธิบดี สถ.เกี่ยวกับการเสนอโครงการและคำของบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ว่า เป็นการเตือน สถ. ว่ากระบวนการที่ทำ เปิดให้มีการยื่นคำขอเพียงแค่สามวัน มันอาจจะสุ่มเสี่ยงการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือล็อกสเปกได้ จึงแสดงความเป็นห่วง ก็ให้ไปดูรายละเอียดในตัวเงินว่างบประมาณที่ขอมามีความโปร่งใสหรือไม่อย่างไร ซึ่งยังมีด่านของคณะอนุ กมธ.การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นประธาน
และยังมีคณะที่นายกฯ เป็นประธานอีกชั้นหนึ่ง และจึงเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ยังถือว่ามีอีกหลายด้าน ซึ่งการประชุม กก.นโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงบ่ายวันที่ 18 มิ.ย. ที่นายกฯ เป็นประธาน ไม่มีงบประมาณในส่วนของท้องถิ่นเข้าสู่ที่ประชุม อนุฯ ได้ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว คิดว่ายังไม่พร้อม เพราะยังมีเรื่องของตัวเลขที่ไม่ตรงกัน

ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ในฐานะโฆษกคณะอนุ กมธ.การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน แถลงว่า ในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ เป็นวันครบ 180 วัน ที่ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ. … ที่แก้ไขในประเด็นการใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวเป็นเกณฑ์ผ่านประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ หลังจากที่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. สภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่เห็นด้วยและต้องยับยั้งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไว้
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า เชื่อว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรกของสมัยประชุมสภา วันที่ 3 ก.ค.นี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะบรรจุวาระร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เพื่อให้ สส. ลงมติยืนยันด้วยเสียงข้างมาก ซึ่งตนเชื่อว่าเสียงลงมติจะถึงเกณฑ์ เพราะพรรคประชาชน (ปชน.) ให้ความสนับสนุน เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย จากนั้นต้องส่งไปประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
“สถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ทำให้เราต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อจำนวนครั้งการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ต้องเร่ง เนื่องจากมีข่าวว่าจะยุบสภาในต้นปี 69 ซึ่งอาจไม่ทันให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากมี ส.ส.ร.ก็เดินหน้าได้ก่อน”

นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวว่า สิ่งที่กังวลคือยังมีกฎหมายที่สำคัญรออยู่ และสถานการณ์นี้สุ่มเสี่ยงต่อการยุบสภา หากเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ และมีการโหวตกฎหมายต่างๆ แต่ก็ยังคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคงยังมีการคุยกันได้อยู่ เพราะการเมืองตอนนี้เป็น “สามเส้า” และจะมีปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุนจาก สว. เพราะกฎหมายต้องผ่านวุฒิสภาด้วย หวังว่าน่าจะยังไม่ยุบสภา เพราะยังมีร่างพ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 แต่หาก พ.ร.บ.งบปี 69 ผ่าน ตนก็ไม่รับประกันแล้ว เพราะเหลือเวลาอีกปีเดียว