จากกรณีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประเทศไทย กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงที่กัมพูชากำลังเดินเกมส่งเรื่องข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก อีกทั้ง สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังได้โพสต์ภาพชุดในตอนที่นำ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และสามี ชมห้องซึ่ง นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยพำนักระหว่างอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ดร.ภัทรพงษ์ แสงไกร” อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์วิเคราะห์ถึงประเด็น “กัมพูชาล้ำเส้นกฎหมายระหว่างประเทศ ปมคลิปเสียงและโพสต์ภาพ พร้อมเผยรัฐบาลไทยควรเดินเกมรุกทางกฎหมาย” ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Phil Saengkrai”

โดยดร.ภัทรพงษ์ ระบุข้อความว่า “หลังจากเกิดกรณีคลิปเสียงนายกฯ หลุด ตามมาด้วยกรณีท่านฮุนเซนโพสต์ภาพห้อง “ทักษิณ” ห้อง “ยิ่งลักษณ์” ผมคิดว่า ฝ่ายไทยเราต้องเริ่มเล่นเกมรุกทางกฎหมายกับกัมพูชาบ้าง การกระทำลักษณะนี้ของกัมพูชา (ผ่านเจ้าหน้าที่ของรัฐกัมพูชา) ซึ่งน่าจะเกิดซ้ำอีก เข้าข่ายผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศข้อหนึ่ง คือ หลักห้ามก้าวก่าย (non-interference) และอาจจะเข้าข่ายผิดหลักห้ามแทรกแซง (non-intervention) ด้วยหลักห้ามก้าวก่าย (non-interference) ปรากฏในกฎหมายหลายฉบับ ที่ชัดเจนมากๆ คือ ความตกลงระหว่างกัมพูชากับอีก 18 ประเทศรวมทั้งไทย ซึ่งทำขึ้นหลังสงครามในกัมพูชา”

อีกทั้ง “หลักการนี้ห้ามกัมพูชาก้าวก่ายกิจการภายในประเทศ และการต่างประเทศของไทย ไม่ว่าจะรูปแบบใด ไม่ว่าจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อม การเผยแพร่คลิปเสียง เพื่อบั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาลก็ดี เพื่อทำลายสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพก็ดี เหล่านี้ขัดต่อหลักห้ามก้าวก่ายแน่ๆ ความตกลงฉบับนี้เป็นความตกลงที่ท่านฮุนเซนยกขึ้นมาอ้างเอง ในวันที่ 28 ที่มีการปะทะกัน เป็นส่วนหนึ่งของความตกลงสันติภาพกรุงปารีส ดังนั้น เราจึงอ้างฉบับเดียวกันนี่แหละ ย้อนเกล็ดกลับไปเล่นงานกัมพูชาต่อไป”

นอกจากนี้ “หากกัมพูชาใช้คลิปเสียงหรือเครื่องมืออื่นๆ มาแบล็กเมล์หรือบีบบังคับให้รัฐบาลไทย ต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ทั้งๆ ที่ไทยควรจะมีอำนาจตัดสินใจเองได้ เช่น การเจรจาเรื่องพื้นที่พิพาท การปิดเปิดด่าน การรับแรงงานชาวกัมพูชา การกระทำของกัมพูชาจะเข้าข่ายขัดต่อหลักห้ามแทรกแซง (non-intervention) ด้วยข้อนี้เป็นหลักการทั่วไปในกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว ผลที่ตามมาในทางกฎหมายคือ กัมพูชาต้องเยียวยา เช่น การกล่าวคำขอโทษต่อประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และต้องประกันว่าห้ามทำซ้ำอีก ตรงนี้ ต้องหาทางผูกมัดกัมพูชาให้ได้ เพราะอาจจะมีการปล่อยอะไรออกมาอีก”

อย่างไรก็ตาม “ประเทศไทยเราน่าจะเริ่มออกแถลงการณ์ประณามว่า การกระทำของกัมพูชาเข้าข่ายผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ชิงความได้เปรียบในเกมกฎหมาย เพื่อปูทางไปสู่ความได้เปรียบในเกมศาล ให้ไทยได้ต่อสู้ว่า การที่กัมพูชาจะนำพื้นที่พิพาท 4 จุด ไปสู่ศาลโลก ขาดความชอบธรรม ขาดความสมเหตุสมผลอย่างไรบ้าง หากไปถึงศาลจริงๆ จะได้สู้ว่ากัมพูชา “มือไม่สะอาด” ฟ้องไม่สุจริต หรือถ้าไปถึงขั้นสุดท้ายจริงๆ จะได้ฟ้องแย้งเอากัมพูชามารับผิดในส่วนที่ทำผิดด้วย”

ขอบคุณข้อมูล : Phil Saengkrai