เมื่อต้นเดือนนี้ ชาวบ้านตาแหลมคนหนึ่งมองเห็นกลุ่มเมฆที่มีรูปร่างเหมือน ‘พระเยซู’ ลอยอยู่เหนือมหาวิหารพระแม่แห่งเปญาฟรานเซียในเมืองนากา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของฟิลิปปินส์ จึงบันทึกภาพวิดีโอไว้

มีผู้พบเห็นกลุ่มเมฆที่มีรูปร่างโดดเด่นดังกล่าวขณะเข้าร่วมพิธีทางศาสนาก่อนถึงวันเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นวันหยุดของชาวฟิลิปปินส์ที่จัดขึ้นในวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่มีผู้บันทึกภาพวิดีโอนี้ไว้นำไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ก็กลายเป็นไวรัล

ภาพจากคลิปวิดีโอช่วงที่ซูมเข้าไปที่กลุ่มเมฆแสดงให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ที่ดูคล้ายเส้นผมและมือที่กำลังยกขึ้น 

ชาวคาทอลิกที่มาร่วมงานที่มหาวิหารหลายคนก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นภาพดังกล่าวเช่นกัน โดยทุกคนเงยหน้าขึ้นจ้องมองอย่างตกตะลึง 

@accuweather

People in the Philippines were stunned when a cloud resembling Jesus appeared following a mass. #cloud #clouds #jesus #philippines #religion #christian #accuweather

♬ original sound – AccuWeather

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวเน็ตนักวิจารณ์แสดงความกังขาต่อภาพไวรัลนี้หรือมองว่าเป็นเพียงเหตุบังเอิญ ผู้ศรัทธาชาวฟิลิปปินส์หลายคนกลับมองว่าภาพดังกล่าวเป็นสัญญาณจากเบื้องบน 

ตั้งแต่เริ่มแรกมีผู้พบก้อนเมฆรูปร่างคล้ายพระเยซู ก็มีผู้คนกว่า 8,000 คนเดินทางมาที่สถานที่ดังกล่าวเพื่อสวดมนต์เพื่อถวายพระเกียรติแก่ภาพคล้ายองค์ศาสดาที่น่าอัศจรรย์นี้

ก้อนเมฆรูปร่างคล้ายพระเยซูนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก หลังจากมีการค้นพบใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปริศนาอันเก่าแก่หลายศตวรรษของเหตุการณ์เกี่ยวกับบุคคลสำคัญของศาสนาคริสต์

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวเดอะนิวยอร์ก โพสต์ รายงานเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเกี่ยวกับการศึกษาวิจัยขององค์การอวกาศและการบินแห่งสหรัฐหรือ ‘นาซา’ ที่สามารถยืนยันเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ได้บางส่วน รวมถึงการตรึงกางเขนพระเยซู

นาซา ชี้ว่าข้อความในพระคัมภีร์ที่ระบุว่า ดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นสีเลือดหลังจากการตรึงกางเขนของพระเยซู อาจหมายถึงการเกิดสุริยุปราคา ซึ่งจะมองเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง พร้อมกับเสริมว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ค้นพบว่ามีสุริยุปราคาเกิดขึ้นจริงในเยรูซาเลมในช่วงนั้น

ตามรายงานของ นาซา ระบุว่า การเกิดสุริยุปราคาดังกล่าวเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 3 เมษายน ค.ศ. 33 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่นักเทววิทยาหลายคนระบุว่า เป็นวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : TikTok/ @accuweather