สำนักข่าว “แชนเนล นิวส์ เอเชีย” (ซีเอ็นเอ) ของสิงคโปร์ เผยแพร่บทความ เกี่ยวกับความตึงเครียดเรื่องชายแดน ระหว่างไทยกับกัมพูชา มีใจความโดยสรุปว่า “การแบ่งเขตแดนในยุคอาณานิคม” ถือเป็นสาเหตุหลักของความตึงเครียดอย่างยาวนาน และนอกจากนั้น ทั้งสองชาติมักมีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน
เมื่อปี 2505 หลังฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) หรือศาลโลก ให้กัมพูชาชนะปราสาทเขาพระวิหาร อย่าไรก็ตาม ทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารอยู่บนฝั่งไทย
ต่อมา เมื่อกัมพูชายื่นคำร้องต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เพื่อขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2551 ข้อพิพาทดังกล่าวก็ได้ถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง จนส่งผลให้เกิดการปะทะทางทหารต่อเนื่องยาวนานถึง 3 ปี และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 28 ราย และผู้พลัดถิ่นอีก 36,000 คน
เมื่อปี 2556 การสู้รบยุติลง รัฐบาลพนมเปญได้ขอให้ศาลโลกตีความขอบเขตอำนาจอธิปไตยในดินแดนโดยรอบ ซึ่งคณะตุลาการมีคำวินิจฉัยว่า กัมพูชามีอำนาจเหนือพื้นที่ทั้งหมด ขณะที่ไทยโต้แย้งคำตัดสินดังกล่าว
นับแต่นั้นมา กองทัพไทยได้รักษากำลังพลไว้ใกล้พื้นที่พิพาท และบริเวณปราสาทแห่งอื่น ๆ ที่มีปัญหาอีกหลายแห่งตามแนวชายแดน โดยภายหลังความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลกอีกครั้ง เพื่อขอให้ตัดสินเรื่องเขตอำนาจเหนือปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย รวมถึงพื้นที่มุมไบ ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับจุดปะทะระหว่างทหารทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ที่ผ่านมา
ไทยแสดงจุดยืนคัดค้านอย่างหนักแน่น ต่อการยุติปัญหาผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และไม่ยอมรับคำตัดสินใด ๆ ในนามของกัมพูชา โดยไทยยืนกรานที่จะใช้กลไกทวิภาคี เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) แต่ได้ล้มเหลวในการลดระดับความขัดแย้งหลังการพบกันเมื่อ 10 วันก่อน
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. บทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย เอ่ยเรียกสมเด็จฮุน เซน ประธานองคมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่า “ลุง” และยังมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์กองทัพไทย ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีของไทย เผชิญกับแรงกดดันให้ลาออก และในขณะเดียวกัน วิกฤติการณ์ครั้งนี้อาจเป็นโอกาสของกองทัพและฝ่ายค้าน ในการใช้กระแสชาตินิยมขับไล่พรรคเพื่อไทย ทั้งด้วยการรัฐประหาร หรือการเคลื่อนไหวทางการเมือง
การปิดด่านและการแบนสินค้าบางประเภทได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจของทั้งสองชาติ เนื่องจากตามสถิติของธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ เมื่อปี 2565 ระบุว่า กัมพูชานำเข้าสินค้าจากไทยเป็นมูลค่าสูงถึง 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 123,401 ล้านบาท) ขณะที่เชื้อเพลิงจากไทย ซึ่งขณะนี้ถูกรัฐบาลพนมเปญสั่งห้ามนำเข้า คิดเป็นประมาณ 28% ของตัวเลขดังกล่าว
มากไปกว่านั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้ยังเกิดขึ้นในระหว่างที่ทั้งสองชาติ ต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐ ที่จะเกิดขึ้นหลังการละเว้นภาษีชั่วคราว 90 วัน จะสิ้นสุดลงในเดือน ก.ค. นี้ ซึ่งกัมพูชาจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดาประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ขณะเดียวกัน อาเซียนก็กำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่เปราะบางเป็นพิเศษ ซึ่งเกิดจากแรงกดดันจากความล้มเหลวในการแก้ไขความขัดแย้งในเมียนมา และเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ กล่าวว่า เขาได้หารือกับผู้นำไทยและกัมพูชา พร้อมทั้งแสดงความมุ่งมั่นในการเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา “ต้องการมากกว่านั้น” และมากไปกว่านั้น อาเซียน “ขาดกลไกแก้ไขข้อพิพาท” ที่มีผลผูกพันและได้ผล ซึ่งสื่อให้เห็นจากการที่กัมพูชาหวังพึ่งไอซีเจ ขณะที่ไทยต้องการกรอบการทำงานแบบทวิภาคี อีกนัยหนึ่งอาจถือได้ว่า อาเซียนสูญเสียความเชื่อมั่นในการป้องกันไม่ให้ปัญหาทวีความรุนแรง
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศสมาชิกอาเซียน ยังส่งผลต่อโอกาสของสมาชิกทั้งหมด ในการตอบสนองต่อภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่รวมถึงแนวทางใน “กลยุทธ์ระดับภูมิภาค” และ “การเจรจาทวิภาคีร่วมกัน” ซึ่งหากความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาแย่ลง ความสามารถในการรับมือกับเรื่องนี้ก็อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง.
เครดิตภาพ : AFP