เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 68 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่มีสำนักข่าวบางสำนัก นำเสนอข้อร้องเรียนโครงการแท็บเล็ตของกระทรวงศึกษาธิการ และจะให้รัฐมนตรีใหม่ มารื้อโครงการนี้ ขอชี้แจงว่า สำนักข่าวบางช่องที่นำเสนอ เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วน อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยมีความเสื่อมเสีย เพราะโครงการแจกแท็บเล็ตเป็นโครงการที่เริ่มตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า จะต้องมีการแจกอุปกรณ์ให้นักเรียน เราก็ได้รับข้อสังเกตมากมาย จากบุคลากรครูที่ใช้ไปเมื่อคราวก่อนว่าใน 10 กว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถใช้ได้จริง เนื่องจากไม่ใช่แท็บเล็ต แต่เป็นเหมือนเครื่องอ่านการ์ด เราก็คิดถึงเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปในโลกปัจจุบัน พยายามหาเทคโนโลยีที่อยู่ในตลาด ให้คนที่จะตรวจสอบไปลองดูเกี่ยวกับสเปก ซึ่งมีการแขวนทีโออาร์ ฟังประชาพิจารณ์ทั้งหมด 4 รอบ

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า เราคำนึงถึงตัวคุณภาพของอุปกรณ์เป็นหลัก คือ ต้องมีทัชสกรีน มีคีย์บอร์ด และเป็นระบบออนไลน์ ซึ่งต้องมีซิมการ์ดในตัว ประหยัดพลังงาน ซึ่งสเปกที่เขียนค่อนข้างสูงกับงบประมาณที่เราได้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับเด็กที่มีฐานะยากจน ไม่มีความพร้อม ให้สามารถเข้าถึงได้ และไม่เป็นภาระกับผู้ปกครอง แน่นอนว่าในภาพรวมงบอาจจะเยอะ เพราะแจกเด็กเป็นล้านคน เด็กนักเรียนไทยมีอยู่ประมาณ 5,000,000 คน ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะแจก โดยในเฟสแรกแจกอยู่ประมาณ 600,000 คน ทั้งบุคลากรครู และนักเรียนในโรงเรียนคุณภาพ ระดับ ม.ปลาย ทั่วประเทศ และโรงเรียนขยายโอกาส ในระดับชั้นเดียวกัน ซึ่งเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรมีแค่ครึ่งปี ไม่ใช่เต็มปี ค่าเช่าของเครื่อง 600,000 เครื่อง เดือนละ 400 บาท รวมกับบริการอินเทอร์เน็ต อันลิมิต สำหรับยูอาร์แอลเพื่อการศึกษา รวมประกัน กรณีเครื่องเสียหาย และสูญหาย  เพื่อเป็นการขยายโอกาสให้กับเด็กในต่างจังหวัดทั่วประเทศ และไม่เป็นภาระกับผู้ปกครอง 

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีสาเหตุที่ต้องเช่า คือ 1.ไม่เป็นภาระหนักเกินไป สำหรับงบประมาณ 2.อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีการเสื่อมอายุ เมื่อครบเวลาหากซื้อมาแล้ว และให้โรงเรียนเป็นคนรักษาปัญหาเมื่อเครื่องเสียหาย ก็จะเป็นภาระของโรงเรียน จึงเลือกใช้วิธีเช่า งบประมาณเพื่อลดภาระงบประมาณและภาระของโรงเรียน สำหรับในปีแรกกระทรวงได้รับการจัดสรร 1,000 กว่าล้านบาท ซึ่งถ้าตามกำหนดการ ก็จะสามารถแจกได้ในเทอมหน้า ซึ่งขณะนี้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ก็อยู่ในช่วงของการเชิญชวนให้มาประมูล ซึ่งยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้างไป และยินดีให้ไปตรวจสอบ

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการนำเสนอข่าว ระบุว่ามีการร้องเรียนนั้น ตนมองว่า เป็นการพูดไม่หมด เพราะผู้ที่ร้องเรียนจากที่ดูส่วนมาก เป็นเรื่องประเด็นอุปกรณ์ สเปกสูงเกินไป เช่น ที่เราระบุไปว่า จะต้องมีเทคโนโลยี “อีพีท” หรือ EPEAT (Electronic Product Environmental Assessment Tool)  ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีกับพลังงาน โดยคนที่ได้อีพีทโกลด์ จะเป็นระดับท็อปแบรนด์ เช่น HP ASUS APPLE ที่ระบุไว้ เพราะเป็นมาตรฐานสูงสุดที่จะให้ครู นักเรียนใช้ ถ้ามีการร้องเรียนก็จะให้ไปดูว่าคำนึงถึงอะไร ซึ่งหากคำนึงถึงราคาไม่คำนึงถึงคุณภาพก็อาจจะได้เครื่องที่ถูกกว่านี้ แต่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างก็อยู่ในขั้นตอนนั้น ซึ่งเราทำประชาพิจารณ์มา 4 รอบ

นายสิริพงศ์ ชี้แจงต่อว่า สำหรับประเด็นคลาวด์ (Cloud) เหตุใดกระทรวงศึกษาธิการ ต้องมาตั้งงบเช่าคลาวด์  เพราะรัฐบาลมีนโยบายคลาวด์เฟิร์ส จึงอยากให้กลับไปดูว่านโยบายคลาวด์เฟิร์สเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะเวลาทำงบประมาณทำคำขอเข้าไป ก็มีแต่บอกว่าให้หน่วยงานเป็นคนตั้งเอง เพราะยังไม่มีความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องของการเช่าคลาวด์ ก็ต้องเข้าบอร์ดร้อยล้านของกระทรวงดีอีเอส เพื่ออนุมัติพิจารณาความคุ้มค่าก่อนทุกโครงการ

“ขอยืนยันว่าโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ โปร่งใส ส่วนเรื่องแพลตฟอร์มที่สำนักข่าวมาระบุว่า ยังส่งงานไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดการส่งงาน ยังอยู่ในระยะเวลาสัญญา ซึ่งในช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางกระทรวงศึกษาธิการได้เปิดให้ทดลองแพลตฟอร์มว่าอำนวยการสอนอย่างไร” นายสิริพงศ์ กล่าว.