นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 12 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าแพง ต้นทุนพุ่ง กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน?” พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านั้น มาจากราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้ง ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งผลกระทบดังกล่าว ทำให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลง 10–20% และคาดการณ์ว่าแนวโน้มต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมใน 3–6 เดือนข้างหน้า จะยังคงปรับเพิ่มขึ้นอีก 10–20% ดังนั้นจึงเสนอขอให้ภาครัฐช่วยเหลือในการพยุงราคาพลังงาน, ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา) เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและประชาชน พร้อมทั้งแนะให้ผู้ประกอบการมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 160 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 12 จำนวน 8 คำถาม ดังนี้

1. ปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า

อันดับที่ 1 : ราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น                

87.5%

อันดับที่ 2 : ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น          

61.9%  

อันดับที่ 3 : ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายด้านการเงินการคลัง 

53.1%

อันดับที่ 4 : การขาดแคลนวัตถุดิบจากผลกระทบของ Supply Chain Disruption     

45.0%  

2. จากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์

อันดับที่ 1 : 10 – 20%                                                                               

55.6%

อันดับที่ 2 : 30 – 50%                                                                               

21.9%

อันดับที่ 3 : ต่ำกว่า 10%                                                                           

15.6%

อันดับที่ 4 : มากกว่า 50%                                                                         

4.4%

3. จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากข้อ 2 ส่งผลต่อผลประกอบการอย่างไร

อันดับที่ 1 : รายได้ลดลง 10 – 20%                                                              

44.4%

อันดับที่ 2 : รายได้ลดลง น้อยกว่า 10%                                                                   

26.3%              

อันดับที่ 3 : รายได้ลดลง 30 – 50%                                                              

15.6%

อันดับที่ 4 : ไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ                                               

10.6%

อันดับที่ 5 : รายได้ลดลง 10 – 20%                                                               

3.1%

4. ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือ และบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร

อันดับที่ 1 : พยุงราคาพลังงาน, ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา)  

80.6%         

อันดับที่ 2 : มาตรการทางภาษี เช่น ลดหย่อนภาษี, งดการหักภาษี ณ ที่จ่าย, ขยายระยะผ่อนชำระภาษีเงินได้, เร่งคืนภาษี  

67.5%                          

อันดับที่ 3 : ลดค่าธรรมเนียม/ขั้นตอนในการส่งออกสินค้า และเร่งแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์  

56.9%                   

อันดับที่ 4 : สนับสนุนสินค้า Made in Thailand ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและเอกชน  

46.3%

5. ภาคอุตสาหกรรมควรปรับตัวรับมือกับภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร

อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์  

75.6%              

อันดับที่ 2 : การประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต  

65.6%

อันดับที่ 3 : นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต เช่น LEAN Manufacturing  

60.0%

อันดับที่ 4 : ปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกของแหล่งวัตถุดิบ  

58.1%

6. จากภาวะสินค้าแพง มาตรการใดจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภค

อันดับที่ 1 : ลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา) และตรึงราคาพลังงาน  

79.4%              

อันดับที่ 2 : ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และขยายเวลายื่นภาษี  

58.8%

อันดับที่ 3 : สนับสนุนเงินช่วยเหลือ ลดค่าครองชีพ เช่น โครงการคนละครึ่ง การจำหน่ายสินค้าธงฟ้า  

55.6%

อันดับที่ 4 : พักชำระหนี้ หรือ ปรับโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ปัญหาหนี้เสีย  

51.9%

7. ภาคอุตสาหกรรมสามารถแบกรับภาระต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยไม่กระทบกับราคาสินค้าได้นานเท่าไร

อันดับที่ 1 : 3 – 4 เดือน                                                                                         

41.9%

อันดับที่ 2 : 1 – 2 เดือน                                                                                         

36.3%

อันดับที่ 3 : จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าทันที                                               

18.1%

อันดับที่ 4 : น้อยกว่า 1 เดือน                                                                                   

3.7%

8. คาดการณ์แนวโน้มต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมใน 3–6 เดือนข้างหน้า

เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน

อันดับที่ 1 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10–20%                                                             

65.6%

อันดับที่ 2 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น มากกว่า 30%                                                                   

17.5%

อันดับที่ 3 : ต้นทุนยังคงทรงตัว                                                                               

16.3%

อันดับที่ 4 : ต้นทุนลดลง 10–20%                                                                 

0.6%