ถือเป็นอีกผลงานที่คอหนังระทึกขวัญ และชอบการสืบสวนสอบสวนไม่ควรพลาด สำหรับ “The Whole Truth ปริศนารูหลอน”  ภาพยนตร์แนวดราม่าระทึกขวัญ ผลงานผู้กำกับฝีมือดี วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง ที่ได้ 3 นักแสดงนำมากความสามารถ ทั้ง ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์, นิโคล เทริโอ และ น้องแม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ มารับบทนำ พร้อมพาผู้ชมไปพบปมปริศนาชวนขนลุก และค้นหาคำตอบเบื้องหลัง “รู” ลึกลับที่ปรากฏขึ้นบนผนังบ้านอย่างไร้คำอธิบาย บน “เน็ตฟลิกซ์  (Netflix)”

ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความทะเยอทะยานของหนังไทย ที่ถ่ายทอดความสยองขวัญและการไขปริศนาลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง ท่ามกลางบรรยากาศหนังที่ชวนอึดอัด พร้อมสะท้อนประเด็นทางสังคม เรื่องช่องว่างระหว่างวัยระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก ความไม่เข้าใจใน “โครงกระดูกในตู้ (Skeleton in the cupboard)” กับบางอย่างที่ไม่อยากเปิดเผยให้คนในครอบครัวรู้ และเชื่อว่าน่าจะกระตุกหัวใจหลายคนได้ดี วันนี้ “มูฟวี่โซน” ขอพาทุกคนไปเจาะลึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ พร้อมพูดคุยกับ 3 นักแสดงนำ อย่าง ปันปัน, นิโคล และ น้องแม็ค เพื่อหาเบาะแส อุ่นเครื่องก่อนไปส่องรูหลอนและพบความจริงสุดสยองพร้อมกัน!

เจาะลึกข้อมูลและเรื่องย่อ

“The Whole Truth ปริศนารูหลอน” เป็นซีรีส์ที่มีความยาว 120 นาที อำนวยการสร้างโดย บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด ควบคุมการสร้างโดย สง่า ฉัตรชัยรุ่งเรือง, อุทัย คุ้มคง ผลงานกำกับโดย วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เขียนบทโดย อภิเษก จิรธเนศวงศ์ นำแสดงโดย ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์, แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์, นิโคล เทริโอ, ก้อย-ทาริกา ธิดาทิตย์ และ หมู-สมภพ  เบญจาทิกุล

“ความลับและความหลอนที่ถูกซ่อนเร้นจะเปลี่ยนชีวิตของทุกคนไปตลอดกาล เมื่อสายเลือดอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงทุกคนในครอบครัวไว้ด้วยกัน”

เมื่อครอบครัว “ใหม่” (นิโคล) และลูก ๆ อย่าง “พิม” (ปันปัน-สุทัตตา) และ “พัท” (แม็ค-ณัฐพัชร์) ประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้ทั้งสามแม่ลูกต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหาและความลับสุดซับซ้อนที่ถูกซุกซ่อนมาอย่างยาวนาน รวมทั้งสิ่งลี้ลับและบรรยากาศความหลอนที่ไม่มีใครล่วงรู้ที่มาที่ไปภายใน “รู” บนผนังบ้านของคนที่เรียกตัวเองว่า “คุณตา” (หมู-สมภพ) กับ “คุณยาย” (ก้อย-ทาริกา) ความพยายามหาคำตอบ อาจนำไปสู่ความจริงที่ไม่มีใครต้องการ

รู้จักตัวละครหลัก

ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์ รับบท “พิม” เด็กสาววัยรุ่นดาวเด่นมากความสามารถประจำโรงเรียน เธอเป็นที่รักของเพื่อนๆ เป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ และเป็นพี่สาวที่คอยดูแลและปกป้องน้องชายแทนแม่ซึ่งไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว แต่ความสวยเด่นในฐานะเชียร์ลีดเดอร์และนิสัยความเป็น Perfectionist ของเธออาจเป็นภัยกับตัวเธอเองมากกว่าที่คิด

แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ รับบท “พัท” หนุ่มน้อยที่มีปัญหาสุขภาพติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มีบุคลิกเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว จึงไม่ค่อยมีเพื่อน ทำให้ต้องยอมคล้อยตามความต้องการของคนที่เข้ามาตีสนิทด้วยอยู่เสมอเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้ โดยไม่ทันระวังถึงความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองและคนใกล้ชิด

นิโคล เทริโอ รับบท “ใหม่” คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวจนต้องปล่อยลูกๆ ไว้ที่บ้านให้พี่น้องสองคนดูแลกันและกันอยู่บ่อยครั้ง ภายใต้ฉากหน้าของความเป็นผู้หญิงที่ทั้งเก่งและแกร่ง สมกับเป็น Working Woman คือเรื่องราวความลับและความทรงจำในอดีตที่ยากจะลืมเลือน

บทสัมภาษณ์เปิดใจ 3 นักแสดงนำ

Q :  จุดเริ่มต้นของการได้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ “The Whole Truth ปริศนารูหลอน” คืออะไร?

ปันปัน : จุดเริ่มต้นของการได้เข้ามารับบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ มาจากผู้จัดการของเราที่ติดต่อมาแจ้งว่ามีภาพยนตร์ที่น่าสนใจ บทดี อยากให้เราเล่น ซึ่งพอเราได้อ่านบทแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างฉีกออกไปจากซีรีส์หรือภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันซึ่งโฟกัสไปที่เรื่องของความรักและชีวิตวัยรุ่น โดย ‘เดอะ โฮล ทรูธ ปริศนารูหลอน’ นำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับดราม่าภายในครอบครัวเป็นหลัก ก็เลยเป็นบทที่น่าสนใจสำหรับเรา

แม็ค : ก่อนหน้านี้แม็คเคยร่วมงานกับทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์มในเรื่อง ‘ตุ๊กแกรักแป้งมาก’ และยังมีผลงานทาง เน็ตฟลิกซ์ เรื่อง ‘แพ้กลางคืน’ ผู้ใหญ่เลยทาบทามให้ลองมาเล่นเรื่องนี้ดู ตอนนั้นก็มีการส่งบทมาให้อ่านและลองทำการบ้านก่อน จากนั้นก็ไปแคสติ้งกับโปรดิวเซอร์ พอเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่าพี่วิศิษฏ์สนใจ เลยตอบตกลงไป หลังจากที่อ่านบทก็สนใจเรื่องนี้ทันทีเพราะสนุกและน่าติดตาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับปริศนาของรูหลอนที่อธิบายไม่ได้ และเรื่องนี้ยังเป็นภาพยนตร์ แนวดราม่าระทึกขวัญเรื่องแรกที่แม็คได้เล่นครับ

นิโคล : ทีมแคสติ้งได้ติดต่อเข้ามาว่ากำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องนี้ และพี่วิศิษฏ์ที่เป็นผู้กำกับก็สนใจที่จะให้นิโคลเล่นเป็น “ใหม่” ค่ะ โดย ‘เดอะ โฮล ทรูธ ปริศนารูหลอน’ เป็นหนังแนวซัสเพนซ์ ดราม่า (Suspense Drama) ที่ต้องใช้การแสดงเยอะ ผู้กำกับเลยมองว่าเราน่าจะสนใจและสนุกไปกับบทนี้ นิโคลเองได้ติดตามผลงานของพี่วิศิษฏ์อยู่แล้ว และพอได้อ่านบทเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าสนุกมาก อ่านรอบเดียวจบแบบวางไม่ลงเลย จากนั้นก็ตอบตกลงเลยค่ะ

Q: คาแรกเตอร์ที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไร?

ปันปัน : เล่นเป็นตัวละครชื่อ ‘พิม’ เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 16 ปี ภายนอกดูเป็นคนที่มีความสามารถ เป็นเชียร์ลีดเดอร์ ก็เลยค่อนข้างเป็นที่รู้จักในฐานะดาวโรงเรียนคนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว พิมมองว่าตนเองเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แค่อาจจะมีความเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ (Perfectionist) ที่รักความสมบูรณ์แบบพอสมควร พิมมีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ‘พัท’ ที่ค่อนข้างสนิทกัน อยู่ด้วยกันกับคุณแม่ เป็นครอบครัวที่ไม่มีคุณพ่อ ซึ่งพิมเป็นคนที่รักน้องชายมากแม้ว่าจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ก็พร้อมที่จะปกป้องน้องชายคนนี้ทุกเมื่อ เพราะว่าน้องชายคนนี้มีปัญหาสุขภาพ ขาข้างหนึ่งเดินไม่ค่อยได้ เลยกลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยไปไหนมาไหน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยมีเพื่อน ยิ่งทำให้พิมเป็นห่วงและคอยดูแลน้องตลอด

แม็ค :  สำหรับ ‘พัท’ เป็นเด็กวัยรุ่นที่มีบุคลิกแบบอินโทรเวิร์ท (Introvert) เขามีนิสัยเงียบๆ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร และไม่ค่อยมีเพื่อน เป็นผลมาจาก ที่เขาโดนบูลลี่เรื่องความผิดปกติที่ขา เพราะป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาตั้งแต่เกิด แต่พัทเป็นคนชอบวาดรูปและวาดได้เก่ง และยังชอบศึกษาทฤษฎีวิทยาศาสตร์ จึงสนใจรูหลอนในเรื่องเป็นพิเศษ และพยายามหาเหตุผลมาอธิบายปริศนาของรูนี้ ว่าคืออะไรกันแน่

นิโคล : รับบทเป็น “ใหม่” ค่ะ ใหม่เป็นผู้หญิงที่รักความสมบูรณ์แบบ หรือเพอร์เฟกชั่นนิสต์ เธอเป็นผู้หญิงเก่ง ทำอะไรได้อย่าง คล่องตัว ใหม่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวดมาก ถูกเลี้ยงให้อยู่ในกรอบเสมอ โดยมีคุณพ่อเป็นตำรวจ ส่วนคุณแม่ของใหม่ ก็ยึดติดกับเรื่องภาพลักษณ์ ความสวยความงาม ใหม่เลยถูกควบคุมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นนิสัย หน้าตา การใช้ชีวิต ใหม่จะต้องเก่งที่สุด ต้องสวยที่สุด เธอเลยโตมาเป็นคนเจ้าระเบียบ แต่ลึกๆ แล้วใหม่ก็ต้องการที่จะเป็นอิสระ เลยได้ไปเจอ กับ ‘กฤษณ์’ สามีของเธอที่เป็นศิลปินนักวาดรูป  นิโคลคิดว่าใหม่ชอบผู้ชายคนนี้ เพราะเขาเป็นขั้วตรงข้ามกับเธอ และการคบกับกฤษณ์คือการพยายามเป็นอิสระของใหม่นอกจากนี้ ใหม่เป็นคนที่ชอบนำความรู้สึกของตนเองใส่ลิ้นชักเอาไว้ เพราะเธอเองก็ได้ไปมีชีวิตใหม่กับลูกทั้งสองคน คือ ‘พิม’ กับ ‘พัท’ จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุ อดีตของเธอจึงกลับมาตามทัน

Q:   “The Whole Truth ปริศนารูหลอน” เต็มไปด้วยปมมากมาย ตอนที่ทั้ง 3 คนได้อ่านบทครั้งแรก รู้สึกยังไง?

ปันปัน : ส่วนตัวปันรู้สึกว่ามันเป็นหนังซัสเพนซ์ ปันชอบที่มันหนึ่งเลยไม่ใช่หนังผีตุ้งแช่ และมีดราม่าครอบครัว ซึ่งปันชอบมากอยู่แล้ว หลัง ๆ มาเราก็จะเล่นซีรีส์ หนังรักโรแมนติก มีพระเอก พอมันเป็นครอบครัวมันก็มีความเข้มข้น ที่ปันมาก ๆ เลยค่ะ

นิโคล : ตอนที่อ่านบท คือเป็นครั้งแรกที่อ่านบทตั้งแต่ต้นจนจบและไม่วางเลย ตอนแรกคือว่าจะค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ แต่มันวางไม่ลง สนุกมากจริง ๆ ค่ะ เพราะในเรื่องมีความซัสเพนซ์จริง ๆ มีปมต้องคลายเรื่อย ๆ และมีดราม่าด้วย มีความเป็นครอบครัว มีแม่ มีลูก เพราะฉะนั้นมีหลายอย่างในความรู้สึกตอนที่อ่านบทครั้งแรก ก็ชอบมากค่ะ

แม็ค : ครั้งแรกที่แม็คอ่านบทเรื่องนี้ แม็คสนใจมาก เพราะมีปริศนาหลายอย่าง บวกความดราม่าของครอบครัวไปด้วย ก็น่าสนใจมาก ๆ ครับ

Q: บทบาทที่ได้รับในภาพยนตร์เรื่องนี้ แตกต่างจากคาแรกเตอร์อื่นที่ผ่านมาอย่างไร

ปันปัน : แตกต่างประมาณหนึ่งในแง่ของความเป็นพี่สาวซึ่งมีน้องชายที่เรารักและคอยดูแล เสมือนเป็นแม่อีกคนหนึ่งในครอบครัว เพราะปกติเราจะไม่ค่อยได้รับบทบาทที่มีคนเด็กกว่าหรือมาเล่นเป็นน้องเรา ทำให้เราต้องทำความเข้าใจตัวละคร ‘พิม’ เป็นพิเศษ

แม็ค : ที่ผ่านมาส่วนใหญ่แม็คจะได้เล่นภาพยนตร์หรือซีรีส์แนวดราม่า เล่นเป็นเด็กน่าสงสาร มีฉากที่ร้องไห้เยอะ แต่เรื่องนี้ เป็นแนวลี้ลับ และ ‘พัท’ เองก็เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด เพราะฉะนั้นเราต้องแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางมากกว่า เพราะไม่สามารถแสดงออกทางคำพูดได้ จึงค่อนข้างท้าทายสำหรับผมครับ

นิโคล : เดิมเคยเล่นมาหลายบทบาท และมองว่าการแสดงภาพยนตร์กับละครมีความต่างกันอยู่ โดยภาพยนตร์จะมีบทพูดน้อยกว่าและยากกว่า ถ้าถามว่าเล่นยากตรงไหน จริงๆ เคยพูดกับพี่วิศิษฐ์ไว้ว่า ฉากที่ดูเหมือนไม่มีอะไรคือฉากที่ยากที่สุด เพราะการแสดงจะต้องอยู่ในทุกการกระทำและแววตาของเราตลอด นอกจากนี้ ซีนที่ไม่เคยเล่นมาก่อน และได้ทำในเรื่องนี้ คือซีนที่ทะเลาะกับแม่ ไม่เคยต้องทะเลาะขั้นนั้น ตอนแรกๆ ก็เกรงใจแม่ก้อย-ทาริกา นิดหน่อย แต่พอเล่นจริงๆ ก็ไปสุดกันทั้งคู่ค่ะ

Q : ตัวตนจริงกับคาแรกเตอร์ในเรื่องนี้ มีความเหมือนหรือแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน?

ปันปัน : ต่างกันค่ะ ในชีวิตจริงเป็นน้องคนเล็กของครอบครัว มีแต่พี่ชายกับพี่สาว เลยเหมือนกับว่าเราเป็นคนที่เด็กที่สุดมาตลอด ไม่ค่อยเจอใครที่เด็กกว่า ไม่เคยต้องเรียกตัวเองว่าพี่กับใครเลย ในขณะที่ ‘พิม’ คือตัวละครที่เล่นเป็นพี่สาวคนโต มีน้องชายที่ ต้องดูแล ตอนแรกๆ ที่เรามาเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย อีกอย่างคือเราเป็นคนที่ค่อนข้างสดใส ร่าเริง รักสวยรักงาม ซึ่งจะตรงกันข้ามกับพิมที่บุคลิกเป็นคนตรงๆ พูดจานิ่งๆ ไม่ใช่ว่าพิมไม่รักสวยรักงามแค่ไม่ค่อยแต่งตัวจัด

แม็ค :  มีทั้งที่เหมือนและไม่เหมือน ‘พัท’ เป็นคนที่เงียบๆ มีบุคลิกแบบอินโทรเวิร์ท แต่แม็คเป็นคนช่างพูด สำหรับส่วนที่ เหมือนกัน คือพัทเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็น ชอบค้นหาคำตอบในเรื่องที่เขาสนใจ แม็คเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ในเวลาว่างถ้าเจอเรื่องที่น่าสนใจ สงสัย ก็จะไปเสิร์ชอินเทอร์เน็ตหาคำตอบดูบ้าง

นิโคล : สิ่งที่เหมือนกันคือความเป็นแม่ เราเข้าใจความรักของแม่ที่มีให้ลูก ลูกเป็นแรงขับเคลื่อนและเป็นทุกอย่างของเรา ในส่วนนี้เราจึงเข้าใจตัวละครได้เป็นอย่างดี แต่ในเรื่องความเจ้าระเบียบนี่ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องทำการบ้าน เป็นพิเศษ ลองศึกษาว่าความเจ้าระเบียบของคนเรามีอะไรบ้าง เช่น ตาต้องดูตลอดเวลา ในหัวคิดตลอดเวลา อะไรอยู่ที่เดิม ก็ต้องอยู่ที่เดิม ก็ได้มีการทำการบ้าน ไปดูหนังเรื่องที่ตัวละครนำเจ้าระเบียบเพื่อศึกษานิสัยนี้ เพราะตนเองไม่มีเลยค่ะ (หัวเราะ)

Q : ในเมื่อตัวตนจริงๆ กับบทที่ได้รับค่อนข้างแตกต่างกัน มีวิธีเข้าถึงคาแรกเตอร์ยังไงกันบ้าง?

ปันปัน : ทำการบ้านพอสมควรค่ะ เราต้องเวิร์กช็อปเพื่อปรับบุคลิกและกิริยาท่าทางต่างๆ ฝึกลดเสียงลงไม่ให้สูงมาก จังหวะการ พูดก็ต้องช้าลงที่สำคัญคือก่อนหน้านี้เราไม่ค่อยเข้าใจว่าความรู้สึกของพี่สาวที่รักและเป็นห่วงน้องชายเป็นแบบไหน เลยต้อง เวิร์กช็อปร่วมกับน้องแม็คที่รับบทเป็น ‘พัท’ น้องชายของพิม เราสองคนก็จะได้ฝึกพูดคุยกัน ทำความรู้จักและสร้างความคุ้นเคยกันในฐานะพี่สาวกับน้องชาย นอกจากนั้นเราเลยได้มีโอกาสสัมผัสบทบาทของน้องแม็คที่ถือว่าค่อนข้างเล่นยาก เพราะคาแรกเตอร์ของพัทเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงออก แต่ข้างในจริงๆ ต้องอัดแน่นไปด้วยความรู้สึก ช่วงที่เวิร์กช็อปด้วยกันเราก็จะคอยให้กำลังใจน้อง บอกให้เขาสู้ ซึ่งมันช่วยให้เราเข้าใจความรู้สึกและเข้าถึงบทบาทของคนที่เป็น พี่สาวได้ดีขึ้น

แม็ค : ก่อนจะเปิดกล้อง แม็คต้องอ่านบทและไปเวิร์กช็อปกับพี่ปันปัน เพราะเป็นเรื่องแรกที่ได้เล่นด้วยกัน ในเรื่องเราเป็นพี่น้องที่สนิทกัน เลยต้องเข้าฉากด้วยกันเยอะ ก่อนเริ่มถ่ายทำต้องมีการทำความรู้จักคุ้นเคยกันก่อน นอกจากนี้ ยังมีครูสอนการแสดง ครูร่ม (ร่มฉัตร ธนาลาภพิพัฒน์) ที่คอยช่วยอธิบายนิสัยและความคิดของตัวละครให้แม็ค ช่วยแนะนำว่าเราต้องเข้าถึงตัวละครในซีนยาก ๆ อย่างไรบ้าง ครูร่มให้แม็คกลับไปทำการบ้าน เช่น ดูหนังที่มีตัวละครคล้ายกับ ‘พัท’ และศึกษาว่าต้องเล่นประมาณไหน คนที่มีบุคลิกอินโทรเวิร์ทแสดงออกอย่างไรบ้าง และมีการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการ เดิน เพราะพัทเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงครับ

นิโคล : ได้ไปเวิร์กช็อปการแสดงกับครูร่ม ซึ่งช่วยมากๆ ปกติเวลานิโคลแสดงก็จะใช้วิธีทำสมาธิ และปูอดีตของตัวละคร เพื่อให้เรากลายเป็นตัวละครนั้นๆ แต่ในเรื่องนี้ เรียกได้ว่ามีฉากที่หนักหลายฉาก ครูร่มก็จะมีวิธีที่ช่วยดึงอารมณ์ของตัวละครออกมา เช่น พาเราไปจับกำแพงบ้าน และหายใจเข้า-ออก เพื่อให้เราอยู่ในอารมณ์และสถานที่ที่ตัวละครของเราอยู่ เอาตัวเราออกไป และกลายเป็นตัวละครจริงๆ เวลาถ่ายทำเรื่องนี้ บางทีต้องมีการเทคใหม่แค่บางช่วง หรือสำหรับบางมุมกล้อง ไม่ได้เล่นใหม่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เราต้องเดินเข้าฉากแบบเต็มร้อยเพื่อเล่นต่อ และเข้าถึงตัวละครนั้นให้ได้ สนุกมากๆ ค่ะ

Q : ทั้ง 3  คาแรกเตอร์นั้นต้องแสดงทั้งดราม่าและความหลอน มีวิธีทำการบ้าน หรือโฟกัสในการแสดงครั้งนี้ตรงไหนเป็นพิเศษ?

ปันปัน : ได้มีการไปเวิร์กช็อปและอย่างปันไม่มีน้องชาย ปันไม่เข้าใจความรู้สึกของการเป็นพี่ ก็ต้องไปเวิร์กกับครูร่มว่าเราจะมีความห่วงน้องขนาดไหน เราจะเทคแคร์ดูแลน้องขนาดไหน เพราะแต่ละคนก็จะรักและดูแลน้องไม่เหมือนกัน

นิโคล : กี้ก็ไปเวิร์กช็อปกับครูร่มด้วยกัน เพราะกี้เคยเล่นเป็นแม่ของแม็ค แต่ไม่เคยเล่นเป็นแม่ลูกกับปันปัน เราก็ต้องมาหาความรู้สึกตรงนั้นให้เจอ คือเรารับบทเป็นคุณแม่ชื่อ ‘ไหม’ ซึ่งเป็นคนที่เจ้าระเบียบมาก และมันแตกต่างจากตัวตนของกี้มาก เพราะว่าไม่มีความเป็นระเบียบวินัยอะไรเลยค่ะ (ยิ้ม) ก็จะไปดูในบทของคนที่เขามีความเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ทุกอย่างต้องเป๊ะ ก็จะศึกษา ดูบทคนอื่นว่าเขาทำยังไงค่ะ

Q:  “ปันปัน” และ “นิโคล” เคยผ่านผลงานแนวผี สยองขวัญมาแล้ว  อะไรคือความท้าทายที่สุดในการทำงานครั้งนี้?

ปันปัน : สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำงาน คือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้กล้องตัวเดียวในการถ่ายทำ ซึ่งเราไม่ได้เจอกับอะไรแบบนี้มานานมากแล้วตั้งแต่เข้าวงการใหม่ๆ การใช้กล้องตัวเดียวทำให้งานมีความละเอียดมาก ต้องถ่ายหลายคัต หลายเทค หนึ่งซีนใช้เวลาถ่ายครึ่งวัน หนึ่งวันถ่ายได้แค่ 3-4 ซีน หนึ่งซีนอาจจะต้องถ่าย 30-40 คัต หนึ่งคัทถ่ายเสร็จแล้วต้องเปลี่ยนมุมแต่นักแสดงเล่นเหมือนเดิม เราต้องเล่นซ้ำๆ หลายสิบรอบ แต่ต้องเล่นให้ออกมาสดใหม่ ดูแล้วไม่เฉาและออกมาดีทุกครั้ง รวมถึงในชีวิตปันไม่เคยเจอผี ไม่ได้เป็นคนที่มีเซนส์ด้านนี้เท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะเราคุ้นเคยกับการเล่นหนังผี (หัวเราะ) คุ้นเคยกับการแสดง เลยจินตนาการ เล่นออกมาได้โอเคประมาณนึง

นิโคล : การถ่ายทำฉากแฟลชแบ๊ก และการไต่อารมณ์ของตัวละครค่ะ เป็นเรื่องที่ต้องปรึกษาพี่วิศิษฏ์ตลอดเวลา และที่ยากไม่แพ้กัน คือฉากที่ดูเหมือนไม่มีอะไร เช่น ฉากกินข้าว และฉากที่สั่งให้ลูกทำนู่นทำนี่ เพราะใหม่เป็นคนเจ้าระเบียบและชีวิตจริง เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ถือว่าเล่นยาก เพราะนิสัยนี้จะต้องเป็นเซคั่น เนเชอร์ (Second Nature) ของเรา เราต้องกลายเป็นตัวละครเลย ถ้าให้เปรียบเทียบ การแสดงเหมือนกับการเต้นที่ไม่มีสเต็ปค่ะ เพราะต้องโฟลว์ทุกอย่าง ทั้งคำพูดและการกระทำ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องทำตามจุดที่บล็อกไว้ เช่น มีฉากหนึ่งที่นิโคลต้องเดินสองก้าวแล้วมาติดกระดุมให้ลูก ตาต้องมองตรงนี้ เสร็จแล้วต้องเอาของไปเก็บและหันมา ในขณะเดียวกันก็มีอารมณ์หงุดหงิดลูกนิดหน่อย เพราะ ‘ใหม่’ เป็นคนที่แยกแยะและเก็บอารมณ์เร็วค่ะ รวมถึงความท้าทายของกี้จะเป็นฉากที่ต้องพีคมาก ๆ แต่ซีนที่ถ่ายมันจะไม่ได้ไล่ไปหนึ่งสองสามสีห้า บางทีเราจะเริ่มตรงกลาง เป็นมุมด้วยวิธีการถ่ายทำของหนัง เลยต้องไปถามพี่วิศิษฏ์ว่าเราอยู่ระดับไหนกัน พอแสดงจริงอารมณ์เราต้องอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้น มันจะท้าทายตรงที่ต้องคงอารมณ์ให้ถูกจุดของมันด้วย ต้องพีคตลอดเวลาทั้งวันที่ถ่าย อันนี้ท้าทายมากสำหรับกี้ค่ะ

Q : ฉากไหนในหนังเรื่องนี้ที่ “แม็ค” รู้สึกว่าท้าทายที่สุด?

แม็ค : ทุกฉากที่เราต้องมองผ่านรูครับ เพราะเราต้องแสดงอาการกลัว แต่ไม่สามารถแสดงออกอะไรได้มากไปกว่าทางสีหน้า แววตา และการหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยาก ครูร่มได้ให้แม็คฝึกหายใจแรงๆ และแนะนำว่าถ้าเราไม่สามารถแสดงออกทางคำพูดได้ เราต้องหายใจถี่ๆ และร่างกายเราจะสั่นไปเอง เพื่อเป็นการแสดงออกให้คนดูรู้ว่าเรากลัว พอเราเริ่มตัวสั่น สีหน้าและแววตาก็จะมาเอง เรียกได้ว่าเป็นฉากที่เหนื่อยที่สุด นอกจากนี้โดยรวมแม็คว่า การที่ ‘พัท’ มีบุคลิกแบบอินโทรเวิร์ท เป็นคนเงียบๆ ทำให้แม็คต้องคิดเยอะขึ้น และแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้น ซึ่งยากสำหรับแม็คที่ไม่เคยรับบทเป็นตัวละครลักษณะนี้มาก่อนครับ

Q : ความยากและความกดดันของการแสดงในหนังเรื่องนี้ คืออะไร?

นิโคล : ความยากของเรื่องนี้มีทุกที่เลยค่ะ เพราะบางที่ก็จะเป็นอะไรที่เยอะมาก ต้องใช้อารมณ์เยอะสูงมากแบบเต็มร้อยเลย แต่บางทีก็ไม่มีอะไรเลย สำหรับกี้ตอนที่แสดงความยากกลับไปอยูในซีนที่ไม่มีอะไรเลย เพราะเวลาที่มันมีอะไร มันชัดเจน มันพุ่งไปหาตรงนั้นได้ แต่ความไม่มีอะไรเลย ตัว ‘ใหม่’ ต้องสิงอยู่ในกี้เต็มร้อย อันนั้นจะค่อนข้างยาก

ปันปัน : สิ่งที่ยากสำหรับปันคือการรับส่ง เพราะการแสดงสิ่งสำคัญที่สุดคือการรับส่ง แต่ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นอยู่ หรือเราจะรับกับเขายังไง อันนี้คือความยากค่ะ

แม็ค :  ตอนแรกแม็คกดดันนิดหน่อยครับ เพราะไม่เคยเล่นเป็นตัวละครแนวนี้ ที่เป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด เลยจะต้องแสดงออกทางแววตา สีหน้าท่าทางมากขึ้น เลยกดดันในทางนั้น และแม็คได้ร่วมงานกับยายก้อยและอาหมูด้วย ก็กดดันที่ได้แสดงกับรุ่นใหญ่ เลยต้องทำการบ้านหนักนิดนึง

Q: อะไรคือสิ่งที่น่าสนใจ หรือน่าติดตามสำหรับภาพยนตร์ “The Whole Truth ปริศนารูหลอน”?

ปันปัน : สำหรับเราสิ่งที่น่าสนใจคือภาพยนตร์นี้เป็นอีกมิติหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะไม่ค่อยได้ดู คือหนังส่วนใหญ่ที่ได้รับความ นิยมในสมัยนี้มักจะเป็นแนวที่เกี่ยวกับความรัก หรือถ้าเป็นหนังผีก็จะเน้นขายจังหวะความน่ากลัวให้คนดูสะดุ้งตกใจ ในขณะที่เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีหลายมิติมากกว่าความเป็นหนังผีที่ดูเพื่อสนองความกลัว เพียงอย่างเดียว มีมิติของดราม่าที่เข้มข้นภายในครอบครัว มีบรรยากาศความหลอนและความลี้ลับ เรียกได้ว่าภาพยนตร์ แนวนี้ไม่ได้มีมาให้ชมกันบ่อยๆ

แม็ค : แม็คว่า ‘เดอะ โฮล ทรูธ ปริศนารูหลอน’ เป็นเรื่องราวที่สนุก น่าค้นหา และมีความน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีจัมป์สแกร์ (Jump Scare) แบบหนังผีมาก เพราะเน้นไปทางปริศนามากกว่า สำหรับคนดูที่ปกติไม่ค่อยดูหนังผี แม็คว่าก็สามารถสนุกไป กับเรื่องนี้ได้ครับ

นิโคล : ก่อนอื่นต้องบอกว่าหนังสนุกค่ะ เพราะตั้งแต่อ่านบทมา มีเรื่องนี้ที่วางไม่ลงและอ่านรวดเดียวจบเลย และความเป็น สืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญ คนดูจึงต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลา และไขปริศนาไปเรื่อยๆ ไม่มีช่วงให้พักเท่าไหร่ และตอนถ่ายทีมนักแสดงก็เล่นกันสุดจริงๆ คิดว่าคนดูต้องชอบค่ะ เพราะนิโคลเองก็ชอบ รวมถึงนักแสดงทุกคนด้วยค่ะ

Q : ชอบฉากไหนในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพิเศษ?

แม็ค :  ผมชอบฉากที่คลายความลับทุกอย่าง เรียกได้ว่ายายก้อย (ทาริกา) และทุกคนในซีนใส่กันเต็มาก เล่นกันได้เดือดมาก เล่นกันดีมากครับ และ ‘พัท’ ก็มีอาการป่วยอีกด้วย จึงท้าทายเป็นพิเศษครับ

ปันปัน : ก็ต้องฉากเดียวกันเลยค่ะ (ยิ้ม) รู้สึกว่าดีมากและเล่นยากมาก ๆ เป็นซีนอารมณ์ในช่วงท้ายเรื่อง ถือเป็นฉากไคลแมกซ์ที่เปิดโปงและคลี่คลายปมทุกอย่าง  เป็นฉากที่ตอนนั้นปัญหาคือตอนถ่าย เหมือนเป็นลองเทค แล้วทีมงานก็คิดว่าลองซ้อมกันดู แต่อาหมู (สมภพ) กับแม่ก้อย (ทาริกา) คือใส่เต็ม แต่สุดท้ายก็คืออาหมูไม่ได้ใส่รองเท้า ใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) พี่วิศิษฏ์คือโกรธมาก แต่เป็นชอตที่ทำให้รู้เลยว่าเขาเล่นกันขนาดนี้ เป็นซีนที่ปันว้าว! สุดยอดจริง ๆ เป็นเทคเดียวที่ดีมาก ซึ่งนักแสดงรุ่นใหญ่แต่ละคนได้มาประชันฝีมือกันอย่างเต็มที่ ใส่เต็มแบบถึงใจถึงอารมณ์ตั้งแต่ตอนถ่ายแบบซ้อม เราเองก็น้ำตาไหลอยู่ในฉาก อากาศร้อนมาก แต่ขนลุกกันไปหมดเลย (ยิม) พอถึงเวลาที่ต้องถ่ายรอบจริงก็ยังเทคเดียวผ่าน  ให้เอาใหม่ก็ทำได้ แม้ว่าจะใช้เวลานานมากก็ตาม ถือเป็นฉากที่เรารู้สึกว่าท้าทายที่สุดสำหรับนักแสดงทุกคน คือมันถ่ายแบบคัตไม่ได้ ตอนแรกกะจะถ่ายแค่เดินเข้านิดเดียว พูดประโยคเดียว ไม่เห็นเท้า แต่สักพักแม่ยิงยาวจนจบเลยจ้า (ยิ้ม) แต่มันเป็นการซ้อม มีเสียงนกร้อง รองเท้าไม่ใส่ ผ้าหล่นลงพื้น ซึ่งซีนนั้นก็ถ่ายไป 3 เทคมั้ง และคัตใช้เป็นช่วง ๆ เอาค่ะ มันเยอะกว่านั้นไม่ได้แล้ว มันจะช้ำ เพราะเป็นซีนอารมณ์หนักมาก เล่นหลายรอบไม่ได้แล้ว เหนื่อยมาก

นิโคล : ฉากเดียวกัน (หัวเราะ) มายังไงก็ต้องกลับไปแบบนั้น เป็นฉากที่ ‘ใหม่’ ปะทะกับพ่อแม่ ซึ่งเป็นฉากคลายปริศนาของเรื่อง นิโคลชอบเพราะเราต้องไปให้สุดในด้านการแสดง และคุณพ่อคุณแม่ก็พานิโคลไปถึงจุดนั้นด้วยกัน คือเหมือนจะซ้อมแต่พอเราใส่กันเต็มมาก ๆ มันก็ไม่มีการสั่งคัต เราก็เล่นไปเรื่อย ๆ จนจบซีน ซึ่งบทมันประมาณ 4 หน้า ซีนใหญ่มาก แล้วมันดีมาก มันสดและเรียลมาก พี่วิศิษฏ์ก็แบบได้มั้ย เสียงได้มั้ย เหมือนเทปนั้นมันได้แล้ว ซึ่งนี่คือความสุขและความมหัศจรรย์ของการแสดง เวลาที่องค์ประกอบมันอยู่ด้วยกันครบ ความรู้สึกมาเจอกัน มันเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมา นอกจากนี้ก็ชอบฉากที่นอนโคม่าอยู่ค่ะ เป็นฉากที่เล่นยากเพราะเราต้องนอนนิ่ง นอนเหมือนตาย นอนทั้งวันทั้งคืน แล้วเมื่อยมากค่ะ (หัวเราะ) อันนี้เป็นเรื่องตลกที่เกิดขึ้น เพราะตอนนอนเราต้องมีสายเชื่อมกับอุปกรณ์การแพทย์มากมาย พอผู้กำกับสั่งคัต แล้วเราไม่สามารถพักเล่นโทรศัพท์ได้นะคะ ระหว่างที่โคม่าทุกคนก็จะมาสารภาพกับเรา ตอนนั้นจำได้ว่าหิวและแอบกลัวว่าท้องจะร้องค่ะ เพราะไมโครโฟนอยู่ตรงท้องพอดี

Q : การแสดง “รู” ในเรื่องมีการใช้ซีจีมากน้อยแค่ไหน และเวลาถ่ายทำตอนที่ผนังมีรูกับไม่มีรู มันยากในการดึงอารมณ์ให้กลับมาตื่นเต้นเต้นเหมือนเดิมมั้ย?

ปันปัน : ซีนนึงถ่ายไป 30 เทค ก็มีหลายคัต มีบางอันที่เราต้องส่องผ่านกำแพงจริง ๆ บางครั้งต้องส่องผ่านกล้อง และบางครั้งต้องส่องผ่านใด ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น จากโฟมหรืออะไรก็ตาม แต่อารมณ์มันก็พอได้ เลี้ยงกันได้ พอเราเข้าใจเวลาอยู่ในซีน แล้วเรารู้ว่าเราต้องเริ่มยังไง พี่วิศิษฏ์ก็จะช่วยไกด์ตลอด เราเห็นอะไรผ่านรู ให้เราจินตนาการไปให้ซีนมันต่อเนื่อง เราก็เล่นได้เนอะ ไม่โดนด่าก็โอเค (หัวเราะ)

 Q :  ทั้ง “นิโคล” “ปันปัน” และ “แม็ค” เป็นคนละรุ่นกันเลย พอได้มาร่วมงานกัน รู้สึกยังไงบ้าง?

แม็ค : ตอนแรกก็แอบตื่นเต้นนิดนึงว่าเจอ 3 รุ่นเลย ก็มีความแตกต่างทางอายุนิดนึง แต่ว่าทุกคนก็ให้ความเฟรนด์ลี่และใจดีกับแม็คมากเลยครับ

ปันปัน : ก็ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ เพราะเราได้มีโอกาสร่วมงานกันรุ่นใหญ่มาก ๆ เช่น พี่กี้ อาหมู และแม่ก้อย ก็เป็นงานที่น่าตื่นเต้นและสนุกค่ะ

นิโคล : ก็ตื่นเต้นและสนุก ดีใจค่ะ เคยร่วมงานกับปันปันและน้องแม็คแล้ว แต่แม่ก้อยกับอาหมู ยังไม่เคย เลยรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมกันสักทีค่ะ

Q :  ด้วยความที่เป็นงานหนังเรื่องแรกของ “แม็ค” ทั้ง “นิโคล” และ “ปันปัน” ได้มีแนะนำอะไรน้องบ้างมั้ย?

นิโคล : จริง ๆ ไม่ได้แนะนำ แค่ก่อนแสดงด้วยกัน ก็จะมีคอนเนกกัน กอดกัน จับมือกัน ให้มีความแม่ลูกอยู่ในนั้น แล้วพอมันมีความรู้สึกตรงนั้น ก็ให้เรื่องพาไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะไม่รู้ก่อน จะไม่วางแผน แต่ด้วยพื้นฐานของความรัก และความเป็นแม่ลูก แล้วเจออะไรค่อยว่ากัน และมันจะเป็นไปตามเรื่องของมัน

ปันปัน : จริง ๆ ไม่มีสิทธิไปแนะนำใครเลย (ยิ้ม) แต่ว่าตอนที่เราเวิร์กช็อปกัน ก็ได้คุยกับน้องแม็ค หนูจะเวิร์กช็อปกับน้องแม็คค่อนข้างเยอะ ก็จะบอกว่าน้องแม็คสู้ ๆ นะ ทุกคนรุ่นใหญ่มากเลย ก็ช่วยกันพูดว่าตรงไหนดี ร่วมกับครูร่มด้วยค่ะ

แม็ค :  เราก็เวิร์กช็อปด้วยกันเยอะ พี่ปันปันก็จะมีบอกโน่นนี่บ้าง เช่น บางครั้ง แม็คอาจพูดรัวและเร็วเกินไป พี่ปันปันก็บอกให้แม็คอ้าปากให้กว้างขึ้นนิดนึง จะได้พูดให้ชัดถ้อยชัดคำครับ

Q : ได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ชั้นครู อย่าง “หมู-สมภพ ” และ “ก้อย-ทาริกา” รู้สึกยังไงบ้าง รวมถึง “ปันปัน” และ “แม็ค” เข้าฉากกับทั้งคู่เยอะ นักแสดงรุ่นใหญ่ทั้ง 2 ท่านได้สอนหรือแนะนำอะไรบ้างมั้ย?

ปันปัน : หลัก ๆ แล้วความยากมันอยู่ที่ตอนเวิร์กช็อป เราได้มีโอกาสเวิร์กช็อปกันแค่ 3 คน เจอกันแค่ 3 คน แต่พอวันจริงเราเจออาหมูกับแม่ก้อย ณ เวลานั้น ตอนถ่ายทำเลย คือเดินไปถึงตอนเช้าที่กองถ่าย ก็สวัสดีค่ะและเข้าซีนเลย ด้วยความโชคดีคือพี่วิศิษฏ์จะค่อย ๆ ไล่มาให้ก่อน อย่างซีนแรกที่เจอกัน ก็จะเป็นซีนขับรถ ย้ายบ้าน ยังไม่ได้เป็นซีนดราม่า เพราะเขารู้ว่าเราเพิ่งเจอกัน มันจะยังไม่คอนเนกกัน อันนี้ก็เป็นความยากมาก ๆ อย่างนึง แต่จริง ๆ อาหมูและแม่ก้อยก็ไม่ได้แนะนำอะไรมากเลยนะ เขาก็คุยเล่น ซึ่งปันคิดว่าการคุยเล่น เฟรนด์ลี่เป็นจุดที่ดีมาก ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะเล่นกับเขามากกว่า

แม็ค :  แบบที่พี่ปันปันบอกเลยครับ อาหมูกับยายก้อยไม่ได้แนะนำขนาดนั้น แต่ทั้งสองคนจะเฟรนด์ลี่มากกว่า ทั้งสองคนใจดีและทำให้แม็คมีความกดดันน้อยลงครับ

นิโคล : ไม่เคยได้ร่วมงานกับแม่ก้อยและอาหมู แต่ก็ติดตามผลงานมาตั้งแต่เราเด็ก ๆ เลยรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติทีได้ร่วมงานกับทั้งคู่ อย่างที่น้อง ๆ บอก ทั้งคู่เฟรนด์ลี่มาก ในความเป็นจริงมันก็ต้องอย่างนั้น แต่พอเริ่มแสดงกัน ก็คือทุกคนอยู่ในคาแรกเตอร์ แล้วมันรู้สึกถึงพลังงานได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นตรงนั้น มันดูจริงมาก ๆ เลยค่ะ ซึ่งมันดีมาก บางครั้งเวลาไม่ได้เจอกันก่อน หรือเวิร์กช็อปกันมากมาย เพราะความสัมพันธ์เราไม่ได้เหมือนแม่ลูก ในเรื่องมันไม่ได้มีเยื่อใยมากมาย เลยรู้สึกว่ามันถูกแล้ว พอเจอกันทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นค่ะ

Q: แล้วการทำงานร่วมกับ “วิศิษฏ์”  ผู้กำกับเป็นอย่างไร?

แม็ค :  เรื่องนี้เป็นการร่วมงานกับพี่วิศิษฏ์ครั้งแรก ก่อนเริ่มงานมีคนบอกว่าพี่วิศิษฏ์ดุและเป๊ะมาก แต่พอได้มาร่วมงานกันจริงๆ พี่วิศิษฏ์ใจดีมาก ไม่ดุเลย แต่สำหรับความเป๊ะนี่เรื่องจริง เขาต้องเป๊ะทุกระเบียบในการทำงาน แต่ก็จะคอยอธิบายและชี้แนะตลอดว่าอยากได้ภาพออกมาประมาณไหน เช่น เรื่องของจังหวะการเดิน การลุกนั่ง เพราะ ‘พัท’ มีอาการป่วยครับ

ปันปัน : ชอบมากค่ะที่ได้ร่วมงานกับพี่วิศิษฏ์ พี่เขาเป็นคนละเอียดมาก ๆ เก็บทุกมุมที่เราควรเล่นได้ครบ อีกอย่างหนึ่งที่ปันมากชอบ คือปันชอบผู้กำกับที่ไม่บังคับ ไม่ได้หมายถึงว่าคนอื่นบังคับนะคะ (ยิ้ม) แต่พี่เขาให้เราลองเล่นเป็นธรรมชาติของเราดูก่อน เขาจะไม่สั่งว่าเราควรเล่นแบบไหน ไม่สั่งว่าเราต้องเดินแบบนั้น ต้องทำท่าแบบนี้ เขาจะดูก่อนว่า เราเล่นออกมาเป็นอย่างไร ถ้าพี่เขาชอบสไตล์นั้นก็คือผ่าน แต่ถ้ารู้สึกว่ายังไม่ใช่ พี่เขาก็จะขอให้เราปรับแต่ยังปล่อยให้เราแสดงออกมาในแบบที่เราถนัดและเป็นสไตล์ของเรา ซึ่งพี่เขาละเอียดมาก บางทีซีนนึง 30 คัต เยอะมาก เราต้องเล่นซ้ำ ๆ สมมุติคัตไหนไม่ได้ เขาก็เอาจนเป๊ะทุกคัท ซีนนึงถ่ายตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงบ่ายโมงก็มี ซึ่งต้องคงอารมณ์นั้น อย่างพี่กี้ก็อยู่กับกำแพง ไม่คุยกับใครเลยทั้งนั้น (ยิ้ม) พี่กี้ในเรื่องจะดราม่ามาก มีความเป็นแม่

นิโคล : เราเป็นแฟนหนังพี่วิศิษฏ์ ดูหนังพี่เขาหลายเรื่อง พี่เขาใจดีค่ะ เป็นคนตลกและน่ารัก แต่เวลาดุก็มีเหมือนกันนะคะ เขาจะซีเรียสกับการแสดง แสงเสียงรบกวนไม่ได้เลย ตรงนี้สำคัญที่สุด เราก็รู้สึกเจ๋ง งานออกมาดีเลย ซึ่งถ้าเป็นซีนอารม์เราก็ต้องคงอารมณ์นั้น คือที่เราหันหน้าเข้ากำแพง เพราะเดี๋ยวเขาจะเรียก และอารมณ์เราต้องอยู่ร้อยแล้ว ถ้าเรานั่งคุย ๆ ลั้ลลา เผลอปุ๊บถูกเรียก (ยิ้ม) และพี่เขาให้เกียรตินักแสดงมาก ซึ่งทุกคนก็รู้สึกดีกับตรงนี้ ในการแสดงพี่วิศิษฏ์จะให้อิสระกับนักแสดง เราเล่นไปก่อนและคอยดูภาพรวม จากนั้นเขาจะอธิบายว่าอยาก ได้แบบไหนและเราก็เล่นตาม ถ้าตรงกับที่เขาต้องการก็ผ่านเลย ในการถ่ายทำเรื่องนี้ ความยากคือการไต่อารมณ์ เช่น เราต้องถ่ายตอนอารมณ์พีคสุด แล้วมาถ่ายตอนที่กำลังเริ่มแสดงอารมณ์ ไม่ได้ถ่ายเรียงลำดับเลยยากนิดนึงค่ะ แต่ถ้าเราเข้าใจ พี่วิศิษฏ์ก็จะปล่อยให้เราแสดงไป แล้วก็ให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ค่ะ

Q : เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำหน่อย?

ปันปัน : ประสบการณ์ในระหว่างการถ่ายทำค่อนข้างดีค่ะ รู้สึกว่านักแสดงทุกคนเข้ากันได้ดี ที่สำคัญคือเราได้เรียนรู้สไตล์การทำงานแบบมืออาชีพของนักแสดงรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมานาน อย่างอาหมูกับแม่ก้อย ซึ่งจะแตกต่างจากเราที่ชั่วโมงบินน้อยกว่า เช่น เวลาที่ต้องถ่ายทำนานๆ หรือต้องเล่นซ้ำไปมาหลายรอบ พอถ่ายจบเราก็จะเปลี่ยนอิริยาบถ ออกไปเดิน หรือไปนั่งพักที่อื่นบ้าง แต่อาหมูกับแม่ก้อยไม่มีบ่นสักคำ เข้าฉากทั้งวันก็ไม่มีปัญหา สแตนด์บายพร้อมตลอดเวลา ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความเป็นรุ่นใหญ่ใจนิ่งจริงๆ เป็นอย่างไรแล้วก็ค่อยนำมาปรับใช้กับตัวเอง

แม็ค : ส่วนใหญ่ผมจะเข้าฉากกับพี่ปันปัน ตอนแรกก็ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่พอได้รู้จักกัน พี่ปันปันใจดีมาก ทั้งในหนังและในชีวิตจริงเลยครับ พี่ปันปันเข้ามาคุยกับแม็คตลอดเพราะเราต้องเล่นเป็นพี่น้องกันและสนิทกันนิดนึง ส่วนพี่นิโคล แม็คเคยเล่นเป็นลูกพี่นิโคลมาแล้ว พอกลับมาในเรื่องนี้ก็ได้รับบทเป็นแม่ลูกกันอีก พี่เขาก็น่ารัก ใจดีครับ ส่วนอาหมูและยายก้อย ตอนแรกก็เกร็งนิดหน่อยเพราะเขาเป็นผู้ใหญ่ในวงการ แต่ทั้งคู่ใจดีมากๆ ยอมรับว่ามีกลัวยายก้อย ที่รับบทเป็นคุณยายของพัทบ้าง เพราะเวลาแสดง ยายก้อยจัดเต็มมาก เขาเล่นบทนี้ได้หลอนจริงๆ ครับ

นิโคล : แม็คเคยเล่นเป็นลูกของนิโคลมาก่อน ส่วนปันปันก็เคยเล่นซีรีส์ด้วยกัน เลยคุ้นเคยกันดีค่ะ สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ในเรื่อง คืออาหมูและแม่ก้อย เป็นการร่วมงานกันครั้งแรก แต่เราก็ได้มีเวิร์กช็อปด้วยกัน ก่อนเริ่มแสดง การทำงานโดยรวมดีค่ะ ทุกคนน่ารัก ตั้งใจทำงาน และอยู่ในกองก็แฮปปี้ มีครูคอยช่วยเรื่องการแสดงให้เรา เพราะเราอยากสื่อตัวละครให้ออกมาดีที่สุด

Q :  เห็น “นิโคล” ร้องเพลง “สายสวาทยังไม่สิ้น”  ประกอบเรื่องนี้ เราร้องด้วยอารมณ์แบบไหน ฟังแล้วหลอนตามจริง ๆ?

นิโคล : ตอนนี้ได้ฟังออริจินอล ก็คิดว่าเพลงน่ากลับมากเลย มันเป็นเพลงกล่อมค่ะ แต่เหตุผลที่เลือกเพลงนี้ เพราะมันมีความต่อเนื่อง มันเป็นเพลงแม่กล่อมลูก เพลงนี้ขึ้นตอนท้ายของเรื่อง ซึ่งทำนอง ฮือ ฮือ ตรงนี้ก็มีมาตลอดทั้งเรื่อง และตอนเข้าห้องอัด คือยากมาก เพราะต้องร้องแบบหลอน ๆ แต่ว่าต้องไม่เป็นร้องเพลงคัฟเวอร์ หรือเพลงใหม่ และต้องเป็นการร้องที่สื่อจากแม่ให้กับลูก แต่มันมีความเศร้า เล่าเรื่องเยอะมาก ซึ่งกี้ไปอัดเพลงนี้หลังจากที่ถ่ายทำเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นอารมณ์ทุกอย่างได้ แต่มันมีเรื่องของเทคนิคตอนอยู่ในห้องอัด มันต้องได้ยินพวกลมหายใจ เพราะเป็นพาร์ทของเรื่องที่ต้องแบกความเป็นแม่อยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นเพลงนี้ยาก แต่ออกมาก็เป็นที่พอใจของทุกคน

Q : ในความคิดของทั้ง 3 คน ตีความว่า “รูหลอน” นั้นหมายถึงอะไร ในบริบทของสังคมของเรา?

ปันปัน : ปันว่ามันแทนแต่ละคนก็ได้นะ อย่างบางคนเห็นอะไรที่เราไม่รู้ เรากล้าเข้าไปดู กล้าเข้าไปเล่นกับมันรึเปล่า อย่างบางคนเห็นรูอะไรแบบนี้ก็ไม่ส่อง รูอะไรก็ไม่รู้ บ๊ายบาย แต่บางคนก็อยากรู้อยากเห็น เข้าไปดู หรืออย่างในมุมคนดู ก็อาจคิดว่ารูอะไร เป็นฉันไม่ดูนะ แต่บางคนก็คือตื่นเต้น อยากดู ก็คือความแตกต่างที่จะได้เล่นกับคนดูไปด้วย

แม็ค :  แม็คว่าอาจเป็นสองแง่ สองด้าน เราส่องรูจากนี้ แต่อีกด้านนึงของรูอาจเป็นเรื่องที่เราไม่คาดฝัน เป็นเรื่องแปลก ๆ

นิโคล : ขอรวมคำตอบของทั้งสองคนเลยนะคะ (ยิ้ม) หนึ่งคือกล้าที่จะเข้าไปดูมั้ย และพอดูแล้วรับได้มั้ย ถ้าเราคิดว่าเราจะได้เห็นอีกอย่าง แต่มันกลายเป็นอีกอย่างนึง เรารับได้มั้ย หนังเรื่องนี้จะเป็นแบบนี้เลย คืออย่าดู ๆ มันจะมีตรงนี้ตลอดเวลา มันมีการชั่งน้ำหนักตลอดเวลาค่ะ

Q : ถ้าเกิดมีรูปริศนาเกิดขึ้นในบ้านของเรา มีคนนึงเห็นและอีกคนไม่เห็นเหมือนสถานการณ์ในหนัง เราจะจัดการยังไง?

ปันปัน : ถ้าเราไม่เห็นแล้วอีกคนเห็น ก็จะคิดว่าเขาเมาอะไรอยู่รึเปล่า รูอะไร (หัวเราะ) แต่ถ้าเขายืนยันจริง ๆ ก็คงต้องหาคนมาช่วยดู

นิโคล : ถ้าเราไม่เห็น คนอื่นเห็นก็จะคิดว่าเขานอนน้อยรึเปล่า (ยิ้ม) ขอเล่านะคะคือตอนไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างจังหวัด และมีเสียงเคาะประตู ข้างนอกมันก็จะมีรู กี้ก็วิ่งไปดูในรูทันที ก็ไม่มีคน เลยเปิดประตูดู มองซ้ายขวา ก็ไม่มีใครเลย มันเป็นไปไม่ได้ เลยปิดประตู เราก็อยู่คนเดียว อันนี้เรื่องจริงเลยค่ะ

แม็ค : แม็คยังไม่เคยเจออะไรแบบนั้น และไม่อยากเจอด้วย ไม่ต้องเจอดีแล้วครับ

Q : นอกจากความหลอนแล้ว มีเมสเสจ (Message)  หรือข้อคิดอะไร  ที่อยากให้คนดูได้อะไรออกไปมากที่สุดบ้าง?

นิโคล : เรื่องของความสำคัญของสถาบันครอบครัว ว่าความรักที่เกิดขึ้นครั้งแรกในชีวิต มันก็เกิดขึ้นในครอบครัว แล้วถ้าตรงนี้ดี ชีวิตก็จะดี  อยากให้เป็นเมสเสจว่ารักษาความสัมพันธ์ ดูแลคนใกล้ชิด ตั้งแต่ต้นไปเรื่อย ๆ อย่าให้มีความลับ หรือมีปม หรือถ้ามีอะไรก็คุยเคลียร์กันให้ดี ไม่อย่างนั้นปัญหาก็จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็อยากให้ได้เมสเสจตรงนี้ ให้คนดูได้กลับไปคิดว่าจริง ๆ แล้วสิ่งเหล่านี้มันป้องกันได้

แม็ค :  มันมีความดราม่าของครอบครัวด้วย มันจะมีปมหลายอย่าง เราก็ควรคุยกัน เพราะเราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ควรบอกกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็จะมีปัญหากันได้ครับ

ปันปัน : จริง ๆ แล้วสิ่งที่หนูเห็นชัดมาก เพราะ ‘พิม’ กับ ‘พัท’ เหมือนต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ปันเห็นถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ถึงแม้ว่าพี่สาวจะเป็นคนคุยเก่ง มีเพื่อนเยอะ แต่น้องชายเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่สุดท้ายพอกลับบ้านมา พี่น้องจะเป็นคนที่อยู่กับเรา และสนิทใจมากที่สุด เป็นคนที่เราไว้ใจมากที่สุดและต้องดูแลตลอดเวลา รองลงมาคือคุณแม่ ซึ่งในเรื่องเราอยู่กับคุณตาและคุณยาย ซึ่งพอเด็กอยู่ในบ้าน ที่ไม่ได้สนิทกับผู้ใหญ่ เด็กก็จะเกิดความอึดอัด ไม่อยากออกจากห้อง ความตึงและเกร็ง ก็อยากแนะนำทุกคน ให้เปิดโปร่งใสในบ้าน ให้ทุกคนสนิทกัน สนิทใจที่จะอยู่บ้าน ทำให้บ้านเป็นสถานที่ที่ลูก ๆ อยากกลับมาอยู่แล้วมีความสุขค่ะ

Q : ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะฉายทาง “เน็ตฟลิกซ์”  ทั่วโลก คิดว่าองค์ประกอบในเรื่องด้านไหน ที่น่าจะถูกใจชาวต่างชาติ หรืออยากให้ชาวต่างชาติมาดูอะไรหนังเรื่องนี้?

แม็ค :  คิดว่าชาวต่างชาติน่าจะชอบ เพราะเป็นหนังที่มีความผสมผสานหลายแนว ไม่ใช่แค่สยองขวัญ ตื่นเต้น ลึกลับ แต่มันมีความดราม่าของครอบครัวด้วยครับ

ปันปัน : หนูรู้สึกว่าพอมันเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล และพอเราทำหนังที่เบสออนวัฒนธรรมไทย ใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียน มีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน พ่อแม่ปู่ย่าตายายอยู่ด้วยกัน แต่ต่างชาติพอเด็กอายุ 18 ไปมหาวิทยาลัยก็กู๊ดบาย ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่เรื่องนี้ก็ได้โชว์วัฒนธรรมไทย ว่าสุดท้ายเด็กก็สามารถไปอยู่กับปู่ย่าได้นะ เด็กอายุแค่ไหนก็ยังอยู่กับคุณแม่ได้ เขาจะได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทยมากยิ่งขึ้นค่ะ

นิโคล : คือวัฒนธรรมของบ้านเรา ปู่ย่าตายายหรือครอบครัวขยาย ยังอยู่ด้วยกัน แม้ไม่สนิทกัน แต่ถ้าเรียกว่ายังอยู่ในครอบครัว ก็ยังอยู่ด้วยกัน หลังอายุ 18 ปีก็ยังอยู่บ้านด้วยกันได้ ไม่ต้องย้ายออกไป และเห็นถึงวัฒนธรรมไทย ในเรื่องของกิริยามารยาท เห็นถึงความอ่อนน้อมของคนไทย แม้ว่าไม่สนิทกับผู้ใหญ่หรือว่ากลัว ก็จะเก็บความรู้สึก ไม่เสียมารยาท ต้องมีสัมมาคารวะ และอีกอย่างอยากให้เห็นถึงความสามารถในการเล่าเรื่องและการถ่ายทำของภาพยนตร์ไทย ที่ใส่ทุกอย่างอยู่ในหนังเรื่องเดียว มันมีหลายปมอยู่ในเรื่องเดียว อยากให้ทั้งโลกได้เห็นว่าภาพยนตร์ไทยนั้นดี สนุก มีความสืบสวนสอบสวนและมีดราม่าด้วยค่ะ

Q :  คาดหวังยังไงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะเผยแพร่สู่สายตาผู้ชมกว่า 190 ประเทศทั่วโลก?

ปันปัน : ตื่นเต้นค่ะ ในฐานะนักแสดงก็อยากเห็นเรื่องนี้ขึ้นท็อปเท็นในเน็ตฟลิกซ์ อยากให้ผู้ชมได้ลองชมภาพยนตร์ที่มีอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอ มีความครบรสทั้งดราม่าที่เข้มข้นและกลิ่นอายความหลอน หวังว่าเมื่อผู้ชมดูแล้วจะรู้สึกสนุกไปกับมัน สรุปโดยรวมก็อยากเห็นการตอบรับที่ดีจากผู้ชมค่ะ

แม็ค : ต้องขอขอบคุณทางเน็ตฟลิกซ์ และผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาส แม็คได้เตรียมตัวอย่างดีเพื่อที่จะไม่ทำให้ทางพี่วิศิษฏ์และทีมงานผิดหวัง แม็ครู้สึกโชคดีมากที่ได้รับโอกาสนี้ และเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายไปอีกแบบครับ

นิโคล : นิโคลก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ผลงานเรื่องนี้จะได้เข้าฉายในเน็ตฟลิกซ์ ส่วนตัวชอบเน็ตฟลิกซ์ มากๆ จริงๆ กี้มีผลงานในเน็ตฟลิกซ์อยู่แล้วและรู้สึกปลื้มมากๆ ค่ะ สำหรับเรื่องนี้ กี้ร้องเพลงประกอบด้วยนะคะ ชื่อเพลง “สายสวาทยังไม่สิ้น” เป็นเพลงกล่อมลูกในเรื่องที่นำมาร้องใหม่ ฟังกันได้ตรงเครดิตท้ายเรื่อง หวังว่าทุกคนจะชอบค่ะ

Q :  ท้ายสุดมีอะไรจะบอกกับแฟนๆ ที่รอดูภาพยนตร์ The Whole Truth ปริศนารูหลอนอีกมั้ย?

ปันปัน : อยากให้ทุกๆ คนได้ลองดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ดี มีการขยี้มุมที่น่าสนใจหลายอย่าง ทั้งประเด็นครอบครัวที่เข้มข้นและบรรยากาศชวนขนลุกตลอดทั้งเรื่อง มีรสชาติใหม่ๆ ให้คนดูได้ลองสัมผัสมากกว่าหนังสยองขวัญทั่วไปที่ขายความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว

นิโคล : เรื่องนี้สนุกมากๆ ห้ามพลาดและขอฝากติดตามด้วยนะคะ

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วมาร่วมเปิดปมปริศนาที่หลับใหล ไขความจริงเบื้องหลังกำแพงนั้น ใน “The Whole Truth ปริศนารูหลอน” ในวันนี้ บน เน็ตฟลิกซ์