เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้สื่อข่าว รายงานว่า เมื่อเวลา 16.00น. เวลาท้องถิ่น (19.00น.ตามเวลาประเทศไทย)ภายใน งาน เวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ได้มีการจัด จัดงาน “วันชาติไทย” (Thailand National Day)  โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นตัวแทนในนามรัฐบาลไทย พร้อมด้วยนายวราวุธ ภู่อภิญญา เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (ทีเส็บ) นายพลพีร์ สุวรรณฉวี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายชัยรัตน์ ศิริวัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า และคณะผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมงานกันโดยพร้อมเพรียง

นายชัยวุฒิ รมว.ดีอีเอส กล่าวว่า การแสดงนิทรรศการครั้งนี้จะทำให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยมากขึ้น เพราะอาคารแสดงประเทศไทยได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เข้าชมงานที่เข้าคิวชมอาคารแสดงประเทศไทยในทุก ๆ วัน ตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการจนถึงปัจจุบันมีผู้เข้าชมแล้วมากกว่า 5 แสน ราย  เป็นอาคารแสดงที่ได้รับความนิยมอันดับที่ 5 จาก 192 ประเทศ  และได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าชมงาน ผู้จัดงานและสื่อมวลชนต่างชาติว่าประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมในการแสดงศักยภาพเป็นอย่างดี มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวของเทคโนโลยีและเสน่ห์ไทยแบบดั้งเดิม เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผนวกกับการฉายภาพการพัฒนาประเทศแบบ สมาร์ท ไทยแลนด์

ทั้งเรื่องการขนส่ง การเชื่อมต่อในยุคดิจิทัลที่เข้าถึงสะดวกและง่ายยิ่งขึ้น ผ่านแอนิเมชันฝีมือคนไทย และหวังว่า การจัดงานวันชาติไทยและอาคารแสดงประเทศไทยจะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นด้วยศักยภาพ และความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม ผ่านนโยบายดิจิทัลไทยแลนด์รวมถึงสามารถสร้างมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้ในอนาคตได้

ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าวว่า หากนับเฉพาะในโซน Mobility อาคารแสดงประเทศไทย ถือว่าได้รับความนิยมอันดับ 1 หลังจากการจัดแสดงมาเป็นระยะเวลา 2 เดือน โดยทางเจ้าภาพคาดหมายว่าจะมีผู้เยี่ยมชมงานเอ็กซ์โปครั้งนี้ประมาณ 25 ล้านคน โดยคาดว่าจะมีการเข้าเยี่ยมชมอาคารประเทศไทยประมาณ 10% หรือมากกว่า 2  ล้านคนตลอดระยะเวลาการจัดงาน 6 เดือน ซึ่งช่วงเวลาที่เหลือ 4 เดือน จะมีการการแสดงหมุนเวียนไปตามเทศกาลสำคัญของประเทศไทย

สำหรับ อาคารแสดงประเทศไทยนำเสนอแนวคิด การขับเคลื่อนสู่อนาคต (Mobility for the Future) ผ่านนิทรรศการ 4 ห้อง ได้แก่ ห้องที่ 1: Thai Mobility จัดแสดงเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และราชรถจำลอง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการเดินทางของคนไทยในอดีต ห้องที่ 2: Mobility of Life นำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศจากอดีตถึงปัจจุบัน

 ห้องที่ 3: Mobility of the Future นำเสนอภาพอนาคตของประเทศ ผ่านเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่ต่อยอดมาจากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ และ ห้องที่ 4: Heart of Mobility นำเสนอภาพยนตร์สั้น ผ่านคำบอกเล่าในแง่มุมต่าง ๆ ของชาวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อสื่อให้เห็นว่า หัวใจหลักของการขับเคลื่อนประเทศคือ “คนไทย”

พร้อมกันนี้ ผู้เข้าชมงานยังสามารถสัมผัสเสน่ห์และมนต์ขลังของอาหารไทยขึ้นชื่อ และเลือกซื้อสุดยอดผลิตภัณฑ์คุณภาพของไทย เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการไทยที่ร่วมแสดงศักยภาพของสินค้าและบริการบนเวทีระดับโลก รวมถึงกิจกรรมพิเศษภายใต้แนวคิด “The Best of Thailand” ที่นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ฝีมือคนไทยจากหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยรุ่นใหม่ที่ร่วมหมุนเวียนจัดกิจกรรมตลอด 6 เดือน พร้อมไฮไลท์ประจำวันอย่างการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ภายใต้แนวคิด “Thai Iconic: ความเป็นไทยสู่สายตานานาชาติ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับรายละเอียดกิจกรรมในงานวันชาติไทยจะเริ่มด้วยขบวนพาเหรด “SMILE PARADE” จากด้านหน้าอาคารแสดงประเทศไทยมุ่งหน้าไปยัง Al Wasl Plaza เพื่อเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งประเทศไทยพร้อมถ่ายทอดเอกลักษณ์ความเป็นไทย อลังการด้วยการแสดงพิเศษ ภายใต้แนวคิด “Miracle of Smile มหัศจรรย์แห่งรอยยิ้ม”

โดยมีตัวแทนคนรุ่นใหม่มามอบความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้ร่วมงานด้วยสื่อสากลอย่าง เสียงเพลง ผ่านการแสดงทั้ง 5 องก์ ประกอบด้วย องก์ 1 Overture: ปฐมบท เกริ่นนำถึงเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ของไทยที่อัดแน่นด้วยความสามารถและพร้อมเติบโตเพื่อนำประเทศสู่อนาคตที่รุ่งเรือง โดย ด.ช.ดรัส วรรณสารเมธา อัจฉริยะทางดนตรีวัย 12 ปีที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

 องก์ 2 Greeting Lights: การต้อนรับเข้าสู่ประเทศไทย องก์ 3 Thai Fighting Spirit: นำเสนอความเข้มแข็งของจิตวิญญาณนักสู้ผ่านศิลปะป้องกันตัว (Thai Martial Arts) ผสมผสานกับดนตรีรูปแบบใหม่ของวง Brass Session องก์ 4 Joy & Join: ร่วมพลังแห่งอนาคต โดย เก่ง – ธชย  ประทุมวรรณ ที่มาแสดงความสามารถในการประยุกต์เพลงไทยเดิมเข้ากับดนตรีร่วมสมัยอย่างลงตัว และ องก์ 5 Miracle of Smile: มหัศจรรย์แห่งรอยยิ้ม การเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจของชาติไทยที่เชิญชวนทุกคนมาร่วมฉลองไปด้วยกัน รวมถึงการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดยกรบ โดยนักแสดงคุณภาพจาก กระทรวงวัฒนธรรม