เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.วิวัฒน์ จิตโสภากุล ผกก.3 บก.ป., พ.ต.ท.สิทธิพร มีอาษา, พ.ต.ต.ณัฐดนัย สีแข่ไตร, พ.ต.ต.กิตติภพ ทองเพชร สว.กก.3 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการหลอกรับจำนำรถจำนวน 2 ราย ประกอบด้วยนายธเรศวร์ หรือแก๊ป ภูลายเรียบ อายุ 29 ปี และ นางสุภาภรณ์ จิตรอ่อน อายุ 31 ปี ในข้อหา “ร่วมกันยักยอก, ร่วมกันรับของโจร” พร้อมของกลางรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีอาร์วี หมายเลขทะเบียน 9กฒ7412 กรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 1,000,000 บาท 1 คัน 

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายรายหนึ่ง เจ้าของรถยนต์ของกลาง แจ้งขอความช่วยเหลือยังกองปราบปราม ว่า เมื่อประมาณเดือน พ.ค. ได้ติดต่อกู้เงินจำนวน 30,000 บาท ผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า “money car : รับจำนำรถ” พร้อมนำรถยนต์คันดังกล่าวไปค้ำประกันเงินกู้ไว้ โดยมีนางสุภาภรณ์ เป็นผู้มารับรถคันดังกล่าว พร้อมกับโอนเงินหลังหักค่าดำเนินการต่างๆ คงเหลือเงินจำนวน 25,000 บาท ให้กับผู้เสียหาย ซึ่งหลังจากส่งมอบรถกันเรียบร้อยเเล้วก็ได้มีการเเลกเปลี่ยนสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนกันไว้ พร้อมกับนัดหมายชำระหนี้กันอีกในสองสัปดาห์ถัดไป เเต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้คืน กลับถูกนางสุภาภรณ์ บ่ายเบี่ยงไม่ยอมนำรถมาคืน อ้างว่ารถไปอยู่ที่เต็นท์รถในพื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนที่ต่อมาผู้เสียหายจะมาพบว่ารถยนต์ของตนเองถูกโพสต์ประกาศขายอยู่ในเพจขายรถหลุดจำนำชื่อว่า“รถหลุดจำนำ จากนายทุน” ทำให้เชื่อว่ากำลังถูกหลอกเอารถไปขายต่อ จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น ก่อนประสานตำรวจกองปราบปรามฯให้ช่วยติดตามกลับคืนมา 

พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า เพจ “money car : รับจำนำรถ” เป็นเพจรับจำนำรถขนาดใหญ่ มีผู้ติดตามกว่า 1,000 ราย ซึ่งพฤติกรรมของเครือข่ายนี้จะทำทีรับปล่อยเงินกู้ เพื่อหลอกลวงเอารถของประชาชนที่นำมาค้ำประกันเงินกู้ไว้ไปขายต่อ โดยช่วงแรกจะทำทีนัดหมายวันไถ่ถอน แต่เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน กลับไม่สามารถติดต่อกลุ่มผู้ต้องหาได้ ส่วนรถที่ได้มานั้น กลุ่มผู้ต้องหาก็จะนำไปขายต่อให้กลุ่มนายทุน ซึ่งมีการเปิดเพจขายรถจำนำขึ้นมาอีกเพจหนึ่งโดยเฉพาะ ชื่อว่า “รถหลุดจำนำ จากนายทุน” มีผู้ติดตามกว่า 400,000 คน แต่ละวันจะมีการโพสต์ภาพและข้อความขายรถอ้างว่า เป็นรถหลุดจำนำหนีไฟแนนซ์ ราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้ผู้ที่สนใจ ติดต่อซื้อจำนวนมาก โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะอ้างว่ารถมีการโอนลอย มาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รถ

พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่อว่า เมื่อแน่ชัดแล้วว่ามีการทำกันเป็นขบวนการจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงวางแผนทำทีติดต่อขอซื้อรถของผู้เสียหายคันดังกล่าว กับทางแอดมินเพจพร้อมกับโอนเงินมัดจำให้ก่อนเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท โดยนัดหมายรับรถกันที่บริเวณ ถนนลาดปลาเค้า แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบนายธเรศวร์หรือแก๊ป แสดงตัวเป็นผู้ครอบครองรถของกลาง จึงแสดงตัว ขอตรวจสอบเอกสาร และหมายเลขตัวถังซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นคันเดียวกันกับรถยนต์ของผู้เสียหายจริง จึงได้ควบคุมตัวนายธเรศวร์ พร้อมตรวจยึดรรถยนต์คันดังกล่าวไว้เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านเป็ด ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

นอกจากนี้จากการตรวจสอบเพจ รับจำนำรถ และเพจขายรถ ย้อนหลังพบว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นอีกเป็นจำนวนมาก โดยมีการกระทำความผิดลักษณะเป็นเครือข่าย มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังพบว่า มีการขายรถยนต์ออกไปทั้งหมดกว่า 100 คัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผลต่อไป  อย่างไรก็ตามหลังการจับกุมตัว นายธเรศวร์ ได้ไม่นาน ทาง นางสุภาภรณ์ ผู้ต้องหาที่เป็นคนรับรถจากผู้เสียหายก็ได้ติดต่อขอเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับทางพนักงานสอบสวน สภ.บ้านเป็ด 

พ.ต.อ.วิวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า จากการสอบสวน นายธเรศวร์ ให้การปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เจ้าของเพจขายรถหลุดจำนำดังกล่าว แต่ยอมรับว่า เพจดังกล่าว มีนายทุนอยู่เบื้องหลังว่าจ้างตนกับเพื่อนให้นำรถมาส่งตามจุดหมายที่แจ้งไว้ โดยตนเองทำหน้าที่นี้มาแล้วประมาณ 3-4 ปี และทราบดีว่ารถที่นำไปส่งตามจุดนัดหมายนั้น เป็นรถหลุดจำนำที่ผ่านการซื้อขายแบบไม่มีการจดทะเบียน ซึ่งเคยทำมาแล้วกว่า 100 คัน ส่วน นางสุภาภรณ์ ให้การปฏิเสธ พร้อมกับไม่ขอให้รายละเอียดในขั้นสอบสวน แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากตรวจสอบประวัติพบมีคดีลักษณะเดียวกันนี้ติดตัวหลายคดี ประกอบด้วย คดียักยอกทรัพย์ 3 คดี ในพื้นที่ สภ.บ้านเป็ด 1 คดี และ สภ.เมืองอุดรธานี จำนวน 2 คดี คดีฉ้อโกง 3 คดี ในพื้นที่ สน.สุทธิสาร กทม., สภ.รัตนาธิเบศร์ และ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และ คดีในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ 3 คดี แบ่งเป็นในพื้นที่ สภ.ชัยพฤกษ์ 2 คดี และ สน.สายไหม 1 คดี ซึ่งทุกคดีเกิดในช่วงปี พ.ศ.2564 และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีชั้นศาล เบื้องต้นจึงนำตัวผู้ต้องหาส่ง สภ.บ้านเป็ด ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับเพจดังกล่าวปัจจุบันจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่ามีผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งตวามเอาผิดกับผู้ต้องหากลุ่มนี้แล้วจำนวน 5 รายในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และ จ.อุดรธานี มูลค่าความเสียหายกว่า 5,000,000 บาท