ภายหลังจาก ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ปัดทำคดีลุงพล ไชย์พล วิภา เหตุไม่ให้ใจก่อน ย้ำชัดอนาคตไม่ขอรับทำคดีให้อีก คดีนี้ลั่นบอกสบายมากอย่าห่วง แต่คุณพลาด ต้องใส่ใจอ้อนวอน ไม่ต้องจ่ายเงินเลยก็ได้ ถ้าเป็นคนดี และเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 ลุงพล ได้เปิดเผยผ่านยูทูบว่า บางช่วงบางตอน ยืนยันว่า ทนายอนันต์ชัย ไม่ได้เรียกรับเงิน 5 ล้าน 10 ล้านบาท ในการทำคดีน้องชมพู่ ตอนหนึ่งได้ตัดพ้อหลังทนายอนันต์ชัยไม่รับทำคดีด้วยว่า ตัวเองทำอะไรก็ผิด พูดอะไรก็ผิด เกิดเป็นลุงพลมีแต่ผิดตลอด

พร้อมกับตอบคำถามที่มีคนถามว่าทำไมลุงพลไม่เอ่ยชื่อทนายอนันต์ชัย เพราะทนายยังไม่ได้บอกว่ารับหรือไม่รับลุงพลเลยไม่เอ่ยชื่อเพราะทนายแถลงข่าวบางคำบอกว่าลุงพลไม่เอ่ยชื่อจนมีการไปบอกว่าลุงพลไม่ให้เกียรติ ลุงพล กล่าวว่า เรื่องที่บอกให้ใจ ผมจำได้ ผมไม่เคยมีใครเป็นเพื่อนในเฟซ คนแรกคือท่านอนันต์ชัย ไชยเดช แต่ผมตีความคำพูดท่านไม่ออกทุกคำ เพราะผมจบมาน้อย ผมไม่ใช่นักปราชญ์

ล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ทำไมต้องทำตัวเป็นขอทาน ทำไมต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอ ถึงจะเป็นการให้ใจทนายอนันต์ชัย ไชยเดช จากการแถลงข่าวของผมเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 ที่ร้านอาหารนาทอง เกี่ยวกับกรณีที่ ผมจะรับเป็นทนายความของนายไชย์พล วิภา และนางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือลุงพล ป้าแต๋น หรือไม่?

มีคำพูดของผมบางคำที่บางคนอาจไม่เข้าใจ ไม่สบายใจ และแอบนึกตำหนิในใจ บางคนก็ด่าผมเลยในเพจ ในยูทูบ คือคำว่า “หากนายไชย์พล จะมาหาผมต้องมาแบบขอทาน อ้อนวอนขอร้อง” ผมไม่โกรธหรอกครับที่บุคคลเหล่านั้นจะตำหนิผม ผมจึงเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อให้นายไชย์พล นางสมพร และท่านเหล่านั้นเข้าใจ

จากแถลงข่าวดังกล่าว ผมได้ยกเอ่ยชื่อครูบาอาจารย์ 6 ท่าน ได้ยกตัวอย่างเรื่อง สามก๊ก ตอนที่เล่าปี่ไปหาขงเบ้ง เพื่อให้มาเป็นกุนซือในการรบ กว่าจะได้ขงเบ้งมาต้องไปหลายครั้ง ต้องคุกเข่าอ้อนวอนขอร้อง กลางหิมะ จนขงเบ้งยอมไปเป็นกุนซือให้เล่าปี่ เพราะเล่าปี่ให้ใจขงเบ้งก่อน

‘ลุงพล’ เรียกยูทูบเบอร์มาสอบถาม ใครโพสต์อ้างปมระดมเงิน 5-10 ล้าน จ้าง ‘ทนายอนันต์ชัย’

ตอนที่ผมจบกฎหมายจาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่น 10 ใหม่ๆ ผมไปขอร้องคุณลุงพา ไชยเดช ให้ช่วยฝากให้เป็นทนายความสำนักงานทนายความคำนวณ ชโลมปถัมถ์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์คุณลุง ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ ผมได้ไปทำงานอยู่ระยะหนึ่ง ก็ลาออกเพราะอยากจะไปเรียนเนติบัณฑิต ต่อมาเมื่อผมจบการศึกษาเนติบัณฑิต รุ่น 39 ปี 2529 หลังจากจบแล้ว ผมพยายามหาสำนักงานทนายความหลายแห่ง เพื่อขอทำงาน แต่ถูกปฏิเสธ ในตอนนั้นผมทำตัวเหมือนขอทาน ไม่มีเงิน ไม่มีงาน ลำบากมาก โชคยังดีผมรู้จักกับ เจ๊หม๋วย ซึ่งเป็นคนขายหนังสืออยู่ใต้ถุนเนติฯ (สนามหลวง) ปัจจุบันเจ๊หม๋วย ขายหนังสืออยู่ที่ศาลแพ่งตลิ่งชัน ฝากให้ผมทำงานกับพี่ทนายดนัย เหมวัตถกิจ ที่เซนต์หลุยส์ ซอย 3 ต่อมาผมก็ลาออกและมาทำงานเป็นทนายกับพี่ทนายสันติภาพ อินทรพัฒน์, ทนายคล้อย พัศสุวรรณ, ทนายเรือตรีศุภผล อมรรัตน์ รน. ในขณะฝึกงานผมทำตัวเหมือนขอทาน อ้อนวอนขอ คือขอวิชาความรู้ ไม่เคยทำตัวอย่างเศรษฐีหรือราชา อดทนทุกอย่าง จนในที่สุดผมก็ได้เป็นทนายความมืออาชีพจนทุกวันนี้

การที่ผมพูดว่า หากนายไชย์พล อยากได้ผมเป็นทนายความต้องทำตัวเหมือนขอทาน อ้อนวอนขอร้องผม เป็นปริศนาธรรมที่ผมจะสอนให้รู้ว่า ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าทำตัวสูงส่ง ให้เกียรติคนอื่น และการที่ยกตัวอย่างเล่าปี่คุกเข่าขอร้องขงเบ้ง เพราะเล่าปี่ให้ใจขงเบ้ง เมื่อเล่าปี่ให้ใจขงเบ้ง ขงเบ้งก็ให้ใจเล่าปี่ เล่าปี่จึงได้ขงเบ้งเป็นกุนซือ จ๊กก๊ก จึงยิ่งใหญ่ ผมไม่ใช่ ขงเบ้ง แต่ผมเป็นทนายที่นายไชย์พล และนางสาวสมพร มาติดต่อขอให้ว่าความคดีน้องชมพู่

แค่ใจทำตัวเหมือนขอทาน แต่ไม่ใช่ขอทานจริง แค่เอ๋ยชื่อทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ก็ถือเป็นการคุกเข่า แต่ไม่ใช่คุกเข่าจริง แค่นี้ถือเป็นการให้ใจผมแล้วครับ ผมไม่มีเจตนาดูถูกเหยียดหยามนายไชย์พล และนางสมพร เลยครับ

ผมจึงอยากจะให้ทุกท่านเข้าใจคำพูดของผมในวันแถลงข่าวครับ ผิดพลาดประการใดผมกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ