ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลอยชมพู-ญานนีน ภารวี ไวเกล หรือ Jannine Weigel ศิลปินชื่อดัง ได้แถลงข่าวเปิดใจทั้งน้ำตา เรื่องการฟ้องร้องอดีตต้นสังกัด ที่ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากทางค่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญา และแถลงการณ์สิ้นสุดสัญญาการเป็นศิลปินภายใต้สังกัดดังกล่าว พร้อมกันนี้ได้ประกาศเป็นศิลปินอิสระ

พลอยชมพู เปิดเผยว่า พี่ ๆ สื่อมวนและแฟนคลับน่าจะเห็นว่าหนูหายหน้าหายตาไปนาน รวมถึงมีผลงานเพลงที่ออกมาเพียงแค่ 1 เพลงในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ปี 2020 เป็นปีที่หนูบรรลุนิติภาวะพอดี และเป็นปีที่แย่ที่สุดสำหรับหนู (น้ำเสียงสั่นเครือ) สำหรับหนูแย่กว่าการที่ต้องมาเจอกับโรคระบาด หนูไม่คิดว่าตอนที่อายุ 21 จะต้องมาเจอกรณีพิพาทกับคนอื่น จนต้องมาถึงขั้นขึ้นศาล เนื่องจากจริง ๆ หนูไม่ต้องการมีปัญหากับใคร หนูต้องการจบทุกอย่างด้วยดี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายนึงไม่ต้องการที่จะจบ หนูจึงต้องรวบรวมความกล้าในวันนี้ ที่จะแถลงข่าว
ประเด็นหลักที่หนูอยากกล่าวถึงคือหนูเป็นโจทย์ยื่นฟ้องค่ายเพลงเก่าที่หนูเคยร่วมงานด้วย ข้อกล่าวหาที่เป็นประเด็นหลัก คือค่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญาจนกระทั่งสัญญาสิ้นสุด จึงเรียกร้องค่าเสียหาย ในเรื่องข้อกล่าวหาที่ค่ายผิดสัญญา ผิดในส่วนไหน ตอนนี้อาจยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้มาก แต่หากมีอะไรอัพเดทจะมาแจ้งให้ทราบในส่วนของตรงนี้ต่อไป ตอนนี้ทุกอย่างกำลังรอการพิสูจน์อยู่

การฟ้องร้องครั้งนี้หนูได้ฟ้องที่ศาลมาเลเซีย ไม่ใช่ที่ศาลประเทศไทย มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับหนู เพราะว่ามีทั้งคนที่บอกหนูว่าอย่าฟ้องเลย เพราะจะเสียทั้งเวลาและเสียเงินด้วย พอมามีโควิด จะไปศาลที่มาเลเซียได้ยังไง หนูก็ต้องขอโทษเขาด้วยที่ไม่ฟังเขา เนื่องจากหากหนูไม่ฟ้องร้องเขา ชีวิตหนูก็เดินต่อไปไม่ได้ (เริ่มร้องไห้) เพราะว่าความหวังและความฝันของหนู มันจบลงตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว แต่หนูก็อดทนฝืนต่อไป เพื่อที่ให้มันจะจบ เพื่อที่จะสามารถเริ่มต้นใหม่ สามารถทำงานต่อไปได้ ตอนนี้ศาลมาเลเซียประทับรับฟ้องแล้ว มันจะจบลงยังไง ต้องรอดูกันต่อไป แต่สำหรับหนูจะไปให้สุด หนูไม่ต้องการคำขอโทษ แต่หนูต้องการการชดเชยจากค่ายเท่านั้น ที่จะสามารถเยียวยาอนาคตของหนูที่เสียไป 2 ปีได้
นอกจากหนูขอแจ้งเพิ่มเติมว่า ในตอนนี้ในเมื่อหนูเป็นศิลปินอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้สังกัดใคร หนูขอฝากเพลงที่จะออกต่อไปด้วย หนูกำลังจะมีผลงาน ที่ผ่านมาหนูไม่ได้มีงานมาเกือบ 2 ปีแล้ว แทบไม่มีงานจ้างเลยด้วย หนูก็แทบไม่มีเงินที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะว่ามีทั้งค่าทนายที่ต้องเสีย และค่าใช้จ่ายส่วนตัวด้วย เพราะฉะนั้นเพลงที่หนูทำ มันเป็นผลงานที่สร้างจากเงินก้อนสุดท้ายของหนู เพราะฉะนั้นอยากขอบคุณสปอนเซอร์ทุกท่านที่ช่วยซัพพอร์ตในผลงานต่อไปของหนูด้วย ขอบคุณที่ให้ฝันของหนูเป็นจริง และอยากขอบคุณแฟนคลับทุกคน ที่ติดตามและคอยให้กำลังใจ และคอยซัพพอร์ตหนู แม้ว่าหนูจะหายหน้าหายตาไปบ้างก็ตาม รวมถึงขอบคุณพี่สื่อมวลชนทุกคนด้วย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พลอยชมพูได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินเท่าไหร่นั้น นักร้องสาว กล่าวตอบว่า อาจจะยังไม่สามารถพูดตัวเลขตรง ๆ ได้ แต่เป็นเงินจำนวน 8 หลัก ตอนแรกหนูไม่อยากคิดฟ้องร้อง ก็ได้เจรจามาค่อนข้างนานเกือบเป็นปีเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราต้องการทำงานต่อไป เราก็ต้องเริ่มฟ้องร้องก่อน ส่วนพลอยชมพูเสียผลประโยชน์จากการทำงานในค่ายดังกล่านี้มากน้อยแค่ไหน คือมีเพลงออกมาเพียงแค่ 1 เพลงในระยะเวลา 2 ปี และก็ไม่มีงาน ซึ่งตลอด 2 ปีที่อยู่ในค่าย ก็มีงานติดต่อมา และหนูก็ส่งไปให้ทางค่าย เพราะทุกงานที่ส่งมาต้องผ่านทางค่ายทั้งหมด ค่ายจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะรับงานนี้หรือไม่รับ เพราะตามสัญญาหนูต้องส่งทุกงานให้ค่ายทั้งหมด ซึ่งสัญญากับทางค่ายครอบคลุมงานทุกรูปแบบหมดเลย ทางหนูก็ส่งต่องานให้ค่าย และก็ตามนั้น หนูก็ไม่ทราบว่าทางค่ายปฏิเสธงานของเราหรือไม่ หนูยังไม่สามารถตอบในตรงนี้ได้ในตอนนี้
ถามว่านอกจาก 1 เพลงที่ปล่อยออกมา ทางค่ายได้มีการทำโปรเจคท์เพลงอื่น ๆ ตามมาอีกหรือไม่นั้น มันก็มีการพูดถึง แต่ว่ามันไม่มีแผนที่ชัดเจน มันมีการเลื่อนอยู่ตลอด ส่วนการที่ออกมาปล่อยเพลงเองนั้น จะกระทบกับสัญญาหรือไม่นั้น คือตอนนี้สัญญาสิ้นสุดลงแล้ว ตามสัญญาหนูได้ให้ทนาย 2 คน ทั้งทนายมาเลเซียและทนายไทย ช่วยอ่านสัญญาให้ ซึ่งทั้ง 2 ทนายก็เห็นตรงกันว่าสัญญานั้นสิ้นสุดแล้ว

ซึ่งตามข้อสัญญากับทางค่ายนั้นก็มีการตกลงกันถึงจำนวนเพลงที่ทำออกมา คือต้องทำ 5 เพลง ในระยะเวลา 9 เดือน หลังจากที่ออกเพลงแรกมา แต่ว่าหนูก็ได้มา 1 เพลง จริง ๆ หนูทำเพลงค่อนข้างเยอะ ทำเพลงอะไรก็ส่งให้เขาหมด บางทีหนูไม่ได้รับคำตอบอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกันในบางเพลงที่ส่งไป ซึ่งหนูส่งไปเป็น 10 เพลง บางทีเขาก็เงียบหายไป และกลับมาเขาก็บอกว่าทำเพลงกัน จนหนูไม่รู้ว่าเพลงที่ส่งไปมันเป็นยังไง แต่ว่าหนูส่งไปเป็น 10 เพลง ซึ่งหลายเพลงเราก็ทำที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งโปรดักชั่นมันก็คุณภาพ
ถามว่าเราเคยถามทางค่ายตรง ๆ ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น คือเขาไม่ชอบ มันไม่ตรงตามภาพลักษณ์ที่เขาต้องการให้หนูเป็น ซึ่งหนูเป็นศิลปินคนแรกและคนเดียวในค่าย สำหรับสัญญาที่เซ็นกับค่ายนี้ไม่ได้นับเป็นปี แต่นับเป็นอัลบั้ม เป็นชุด อย่างที่บอกว่าต้องออก 5 เพลงภายใน 9 เดือน หลังจากที่ออกเพลงแรกไป ซึ่งมันก็เป็น E.P หนึ่ง ส่วนอะไรที่ทำให้เรามั่นใจอยากเซ็นสัญญากับค่ายนี้ในวันนั้น คือด้วยความที่ก่อนที่หนูเซ็นเป็นเวลา 2-3 เดือนก่อนที่จะมีเรื่องของโรคระบาด ด้วยความที่เรามองว่าเขาเป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่ และเราก็เป็นศิลปินคนแรกและคนเดียวของค่ายด้วย ก็รู้สึกว่ามันดูน่าจะมีความหวัง เราน่าจะได้ไปต่อยอดในสิ่งที่เรามีอยู่ ซึ่งการทำงาน ณ ตอนนั้นมันอยู่ในจุดที่หนูอยากออกผลงานแล้ว เพราะหนูต้องการทำงานหารายได้ พอมันเข้าค่าย งานทุกอย่างก็ต้องผ่านค่าย แล้วพอหนูไม่มีงาน ก็คิดว่าหากมีผลงานออกมา ก็อาจมีโอกาสได้ทำงานมากขึ้น

ถามว่ารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเซ็นสัญญาในวันนั้นหรือไม่นั้น เราก็ไม่รู้ว่ามันจะมาเป็นแบบนี้ (เริ่มเสียงสั่น) แต่หนูก็รู้สึกว่ามันทำให้หนูเข้มแข็งขึ้น ซึ่ง 9 เดือนแรกในช่วงปี 2020 หนูได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย เพราะว่าค่ายต้องการให้หนูย้ายไปอยู่ที่นั่น เพื่อทำงานได้สะดวกขึ้น แต่พอหนูย้ายไปปุ๊บ มันเข้าล็อกดาวน์ที่ประเทศมาเลเซียพอดี และติดอยู่ที่นั่น 9 เดือน จริง ๆ หนูก็ไม่ได้อยากไปอยู่ยาวขนาดนั้น ตอนนั้นที่ยอมย้ายเพราะว่ามันยังไม่ได้ล็อคดาวน์ และมาเลเซียกับประเทศไทยก็ใกล้ ๆ กัน คิดถึงบ้านก็น่าจะได้กลับ พอเอาจริง ๆ ก็อยู่ยาว ก็พยายามคุยกับที่บ้าน ในตอนนั้นมันก็ทำได้แค่นั้น ซึ่งสัญญานั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ประมาณในช่วงกลางปีนี้ ส่วนหลังฟ้องร้องไปกับทางค่ายก็มีการเจรจากันค่อนข้างนาน แต่ว่าเจรจาแล้วไม่เป็นผล
สำหรับความคาดหวังในเรื่องฟ้องร้องในครั้งนี้ เอาจริง ๆ หนูไม่ได้อยากคิดเรื่องการฟ้องร้องเลย ก็ให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยในส่วนตรงนี้ด้วย คือหนูก็เครียดกับเรื่องนี้ค่อนข้างนาน คุณพ่อคุณแม่ก็ช่วยหนูเต็มที่ ในตอนนี้หนูก็พยายามโฟกัสในส่วนที่เราทำแล้วมีความสุข ทำแล้วสุขภาพจิตเราดีขึ้น เราก็โฟกัสในงานและสิ่งที่มีอยู่ในอนาคต จริง ๆ หนูไม่อยากโฟกัสในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว หนูไม่ได้อยากมาพูดถึงด้วยซ้ำ อยากให้มันเป็นสิ่งที่ผ่านไป หนูอยากก้าวไปข้างหน้าแล้ว ซึ่งหลังจากนี้หากต้องร่วมงานกับต่างประเทศหรือว่าใครก็ตามอีกจริง ๆ หนูว่าอันดับแรกคือหนูต้องหาทนายที่ดีก่อนเซ็นสัญญา แต่ตอนนี้หนูก็ไม่คิดจะเซ็นกับใครแล้ว หนูก็ค่อนข้างเข็ด (ยิ้ม) หนูรู้สึกว่าการทำงานเองมันมีความสุขมากกว่า แม้ว่ามันจะเหนื่อยมากกว่าและต้องใช้เงินของตัวเองเยอะ จริง ๆ หนูก็ช่วงที่ทำงานอิสระมาก่อน ก็พอมีประสบการณ์บ้าง ก็รู้สึกว่าครั้งนี้ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับหนู เพราะว่าหนูก็ไม่ได้มีรายได้อะไรมาเกือบ 2 ปี ก็เหนื่อยนิดนึง

แต่ก็โชคดีที่พอหนูทำโปรเจคท์ซิงเกิ้ลใหม่ และนำไปเสนอกับลูกค้าและทุกคนก็พร้อมซัพพอร์ตเรา หนูรู้สึกดีใจ เพราะว่าหนูก็หายไปนาน ก็ไม่ได้คิดว่าพอเรากลับมาจะมีคนพร้อมสนับสนุนเราเยอะขนาดนี้ เอาจริง ๆ ตอนที่เริ่มต้นทำเพลงนี้ ซึ่งหนูแต่งเองด้วย แค่แต่งเพลงหนูยังเครียดเลยว่าจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าทำเพลง แล้วพอเราเริ่มไปเรื่อย ๆ หนูไม่รู้ว่าจะทำยังไง แต่ก็ทำไปก่อน และพอหนูเสนอโปรเจคท์ทั้งรูปแบบเอ็มวีและนำเพลงไปให้ลูกค้าฟัง คนที่พร้อมจะลงทุนกับเราก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเอ็มวีตัวนี้มีมูลค่าสร้างทั้งหมดเกือบ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูไม่คิดว่ามันจะได้มาขนาดนี้
ส่วนหากไม่ได้ทำเพลงแล้วกลัวแฟน ๆ จะลืมนั้น สำหรับหนูไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ว่าหนูรู้สึกว่าการทำเพลงเป็นสิ่งเดียวที่ทำแล้วมีความสุขที่สุด นึกไม่ออกว่าจะให้หนูทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากทำเพลง ต่อให้เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ก็ขอให้ได้ทำเพลง ร้องเพลง และแต่งเพลง ตอนนี้หนูอยากทำงานในไทยมากกว่า เพราะว่าก็ห่างหายจากผลงานไทยมานาน คิดถึงและอยากทำเพลงไทย เน้นเพลงไทยเยอะ ๆ ในปีหน้า ซึ่งตอนนี้หนูคงไม่เซ็นกับค่ายไหนเป็นจริงจัง แต่ว่าทำงานเป็นโปรเจคท์ได้ และคงไม่เป็นศิลปินภายใต้สังกัดใคร ตอนนี้ก็เริ่มมีงานติดต่อเข้ามาบ้าง ทั้งงานร้องเพลงประกอบละคร ก็รู้สึกดีใจที่ยังมีคนนึกถึง ส่วนงานละครยังไม่แน่ใจ ต้องรอดูในอนาคตต่อไป ตอนนี้เน้นในส่วนของงานเพลงมากกว่า ส่วนเพลงใหม่จะออกวันที่ 14 ม.ค. 65 อยากฝากกับทุกคนด้วย เป็นเพลงที่หนูตั้งใจแต่งมาก ๆ หวังว่าทุกคนจะรอติดตามฟังกัน