เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่ตลาดสดเทศบาลกมลาไสย หรือตลาดเย็น บริเวณมุมทางออก 4 แยกไฟแดง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ มีพ่อค้ารายหนึ่งทำลาบก้อยไปด้วยร้องเพลงไปด้วย สร้างความสนุกสนาน คลายเครียด ให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่แผงใกล้กัน รวมทั้งประชาชนที่เข้ามาเลือกซื้ออาหาร ต้องหยุดฟังเพลงด้วยความสนใจ หลายคนกระซิบกระซาบกันว่าบุคลิกและน้ำเสียง เหมือนนักร้องมืออาชีพ โดยสุ้มเสียงของพ่อค้าขายลาบก้อยรายนี้ฟังออดอ้อน หวานหยดย้อย ซึ่งเพลงที่เขานำมาร้องนั้นเป็นเพลงลูกทุ่งยุคเก่าที่หาฟังยาก ที่เคยโด่งดังมากในยุค 80 หรือราวปี 2520-2530 เช่นเพลง ฉันทนาที่รัก, รักข้ามคลอง, ฉันทนาใจดำ, สุขเถิดบัวคำ ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้าย แต่เมื่อได้ยินแล้วประทับใจ จนอดใจไม่ได้ที่จะหยุดฟังและขอเพลงกัน ขณะยืนรอเมนูลาบก้อย ถือเป็นรูปแบบการขายและวิธีการเรียกลูกค้าอีกแบบหนึ่ง

จากการสอบถามพ่อค้าขายลาบก้อยในตลาด ทราบว่า พ่อค้าที่ร้องเพลง “รักชาติ ศิริชัย” ตัวจริง เสียงจริง ปัจจุบัน อายุ 66 ปี สาเหตุที่มาตั้งแผงขายลาบก้อยที่นี่ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้งานร้องเพลงที่เคยเป็นอาชีพหลักต้องหยุดไป

รักชาติ กล่าวว่า หลังจากยุคเพลงลูกทุ่งลดความนิยมลง ตนก็ยังรับงานอยู่ เช่น ตามร้านอาหาร งานมงคล งานสังคมต่างๆ แต่พอเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบกับคนในวงการบันเทิง และร้านค้าร้านอาหารที่เคยไปรับงานร้องเพลง ตนซึ่งได้เปิดร้านขายอาหารตามสั่งหลายแห่ง ล่าสุดที่กรุงเทพฯ แต่ก็ไปไม่รอด พอดีมีคนที่รู้จักรักใคร่กันดี ชักชวนมาทำธุรกิจขายปุ๋ยและพันธุ์ข้าว ที่ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ จึงใช้เวลาว่างมาขายลาบก้อยที่นี่ โดยมีภรรยาและลูกชายช่วยกันขาย ช่วงเวลา 06.00-08.00 น. จะขายที่หน้าบ้าน ต.หลักเมือง อ.กมลาไสย ตอนเย็นมาขายที่แผงตลาดสดเทศบาลตำบลกมลาไสย ปรากฏว่าได้รับการอุดหนุนจากลูกค้าค่อนข้างดี ก็ต้องขอกราบขอบคุณลูกค้า และมิตรรักแฟนเพลงเป็นอย่างมากที่จำกันได้ และมาช่วยอุดหนุนลาบก้อย ในอนาคตหากบรรยากาศการค้าขายดีขึ้น อาจจะเปิดร้านชื่อ “รักชาติลาบก้อย” และสำหรับการร้องเพลง ซึ่งเป็นอาชีพที่ตนรัก ก็ยังอยากจะร้องอยู่ หากเจ้าภาพท่านใดมีงาน อยากได้รักชาติ ศิริชัย ตัวจริง เสียงจริง ไปขับกล่อมในงาน ก็สามารถมาติดต่อได้

สำหรับ รักชาติ ศิริชัย ชื่อจริงนายบุญช่วย จิวิสาย บ้านเดิมบ้านหนองมะเขือ ต.โคกสำราญ อ.บ้านแฮด (เดิม อ.บ้านไผ่) จ.ขอนแก่น เริ่มจับไมค์ร้องเพลงครั้งแรกในงานแต่งงานงานหนึ่ง จากนั้นก็ตระเวนประกวดร้องเพลงในพื้นที่ใกล้เคียง และก็ชนะเป็นส่วนใหญ่ ช่วงหลังๆ จึงมักได้รับการปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมประกวดจากกองประกวด จึงไปสมัครเป็นนักร้องกับวงดนตรี “จุฬาภรณ์” ที่ จ.มหาสารคาม แต่วงอยู่ได้แค่ 2 เดือนก็หยุด

ต่อมาด้วยความช่วยเหลือของคนในวงการ รักชาติได้มีโอกาสบันทึกเสียงเพลงแรกในชีวิต เป็นเพลงของครูชลธี ธารทอง ชื่อ “จดหมายฉบับสุดท้าย” แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเดินทางกลับบ้านและบวช 1 พรรษา ระหว่างนั้นมีเพื่อนมาพูดคุยเรื่องการเป็นนักร้องที่กรุงเทพฯ หลังจากลาสิขาออกมาจึงตัดสินใจลงไปกรุงเทพฯ หวังจะไปสมัครเป็นนักร้องกับวง “รุ่งเพชร แหลมสิงห์” ที่เขายึดเป็นนักร้องต้นแบบ แต่ปรากฏว่าเมื่อเดินทางถึงเห็นมีการประกาศขายรถบัสเดินสายของวง “รุ่งเพชร” ทำเอารักชาติรู้สึกผิดหวัง และคิดหาหนทางใหม่

ในที่สุดรักชาติก็ไปอยู่กับวงดนตรี “ศรีไพร ลูกราชบุรี” จึงมีโอกาสได้ร้องเพลงหน้าเวทีบ้าง ต่อมาเมื่อวงมาเดินสายอยู่แถวภาคเหนือ รักชาติได้ไปพบสุชาติ เทียนทอง นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังในยุคนั้น เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ซึ่งสุชาติก็รับเขาและแต่งเพลงให้ร้องหลายเพลง นอกจากนี้ยังพารักชาติเข้าห้องอัดเสียงด้วย

รักชาติร้องเพลงของสุชาติหลายเพลง แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนมาถึงเพลงที่ 8 เพลงสุดท้ายที่ตกลงกับสุชาติว่า ถ้าไม่ประสบความสำเร็จอีกก็คงต้องล้มเลิกการผลักดัน และเพลงสุดท้ายที่ทำให้รักชาติโด่งดังเป็นพลุแตก คือเพลง “ฉันทนาที่รัก” ซึ่งเป็นเพลงยุคแรกๆ ที่กล่าวถึงชีวิตของสาวโรงงาน จากความสำเร็จของเพลง “ฉันทนาที่รัก” รักชาติ ยิ่งทวีความดังมากขึ้นไปอีกจากผลงานเพลงสุดฮิต อย่าง “รักข้ามคลอง” “ฉันทนาใจดำ” และ “สุขเถิดบัวคำ” ความดังของเพลงฉันทนาที่รัก ทำให้คำว่า “ฉันทนา” ถูกใช้แทนความหมายของเหล่าบรรดาสาวโรงงานจนถึงปัจจุบัน.