หากเลือกได้เช่นนั้นก็คงดี…

เพราะในความเป็นจริง มีหลายสิ่งที่ไม่ได้ดังใจให้ประสบพบเจอรอบตัว โดยเฉพาะสังคม “เมืองหลวง”อย่าง “กรุงเทพมหานคร” แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองฟ้าอมร แต่ตลอดปีที่ผ่านมา นึกๆแล้วยังมีหลายปัญหาที่หากมี “มนต์วิเศษ” ก็อยากจะ “เสก” ให้หายวับไปกับตาดูเหมือนกัน 

ไหนๆวันสุดท้ายของปีแล้ว ลองให้คนกรุงนึกเล่นๆว่า “ถ้าขอพรได้” คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯอยากขออะไรกันบ้าง เผื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจก้าวข้ามปีใหม่ที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้อย่างมีหวัง

“ทีมข่าวชุมชนเมือง” เดินลัดเลาะลองสุ่มสอบถามความคิดเห็นคนกรุงเทพฯ หลากวัย หลายอาชีพ ทั้งคนที่อยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่เกิด คนต่างจังหวัดที่มาทำงานและอาศัยในกรุงเทพฯ กับคำถามที่ว่า “ถ้าขอพรได้…อยากเห็นกรุงเทพฯเป็นอย่างไร หรืออยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนไปในทันตา”

ชนิดที่ว่าหลับตาอธิษฐาน อ้อนวอน พอลืมตามาปุ๊บได้อย่างที่อธิษฐานปั๊บ!!!

เริ่มที่หญิงสาวรายแรก อายุ 26 ปี ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็น อาจารย์ เล่าว่า ตนเองเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่กำเนิด “ถ้าขอพรได้”  ภาพที่อยากให้เกิดขึ้น คือ 1.“รถ” ติดน้อยลง ควรปล่อยรถในบางแยกอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด และคล่องตัวมากขึ้น  2.“ฝุ่น” น้อยลงกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นที่เกิดจากอุตสาหกรรม ควันรถยนต์ หรือสภาพอากาศ เพื่ออากาศที่บริสุทธิ์มากขึ้น เวลาเดินรอบบ้านจะได้สูดอากาศได้เต็มปอด

3.“แสงสว่าง” เพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะตอนกลางคืน เนื่องจากเวลาเดินทางกลับบ้านในบางจุดไฟตามทางไม่สว่างและบางครั้งก็มีบางดวงไฟเสียเป็นเวลานานกว่าจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาซ่อมแซมจนใช้ได้ตามปกติ และหากมีแสงสว่างเพิ่มมากขึ้น คนเดินทางก็จะปลอดภัยอีกด้วย 4.“สะพานลอย” พื้นไม่แตก ไม่สกปรก มีไฟสว่าง และปลอดภัยเวลาเดินข้าม ปัจจุบันนี้ขนาดกลางวันสะพานลอยบางจุดที่ให้เดินข้ามถนนยังน่ากลัว 

5.“สายสัญญาณหรือสายไฟ” ควรจัดเก็บให้เป็นระเบียบไม่พันกันยุ่งเหยิงแบบปัจจุบัน 6. “ผู้นำ” อยากให้แต่ละเขตมาลงพื้นที่เหมือนตอนหาเสียงบ้าง 7.“ค่ารถไฟฟ้าหรือค่าเดินทาง” ควรลดลง 8.“รถโดยสารสาธารณะ” เช่น รถเมล์ธรรมดา บางคันสภาพเก่าควรได้รับการปรับปรุง เป็นไปได้ก็อยากให้ปรับเป็นรถเมล์ปรับอากาศทั้งหมด และเก็บค่าโดยสารเท่าเดิม เพราะอย่างน้อยก็เป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรเข้าถึง

จากที่เล่าเธอคนนี้ทิ้งท้ายสั้นๆว่า เพราะตนเอง เกิด อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ จนถึงปัจจุบันเกือบ 30 ปี จึงอยากเป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเท่าทัน

คนต่อมา อายุ 28 ปี ประกอบอาชีพเป็น Digital Marketing Consultant เล่าว่า มีบ้านอยู่ในเขตปริมณฑล ติดกับกรุงเทพฯ ตอนเช้าต้องนั่งรถมาทำงาน ตอนเย็นก็นั่งรถกลับบ้าน เป็นแบบนี้ทุกวันทั้งที่มีรถส่วนตัวแต่ไม่อยากขับ เพราะสภาพถนนที่ไม่ดี รวมถึงการวนหาที่จอดรถในเมืองก็ยากมาก “ถ้าขอพรได้” อยากให้มีการบริหารการจราจรที่ดีกว่านี้ ปรับแก้ในส่วนของโครงการแก้ไขพื้นผิวจราจรต่าง ๆ ปรับช่วงเวลาทำการปรับปรุงถนนควรเป็นช่วงที่การจราจรไม่หนาแน่น เพื่อทำให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น

พร้อมอยากให้เพิ่มพื้นที่จอดรถส่วนกลางในจุดเชื่อมต่อรถสาธารณะ และอยากให้เก็บค่าจอดรถที่เหมาะสมหรือไม่มีค่าใช้จ่าย (ฟรี) เพื่อลดภาระคนทำงานในเมือง เพราะปัจจุบันพื้นที่จอดรถในเมืองเป็นพื้นที่เอกชน ค่าที่จอดรถจึงแพงมาก

อีกรายเป็น เจ้าของ ร้านขายอาหารตามสั่ง ย่านถนนรามอินทรา กม.8 เธอบอกว่า “ถ้าขอพรได้” ไม่อยากขออะไรมาก แค่ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรก ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่มีโรคภัยมากล้ำกราย ไม่ว่าจะเบาหวาน ความดัน มะเร็ง หรือแม้แต่โควิด-19 ก็ขอให้หายไปในปี 2565 นี้

คิดว่าถ้าทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ก็จะมีจิตใจสดใส เศรษฐกิจต่างๆดีขึ้น คนก็กล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น เพราะหากมีโรคภัย คนก็จะอมทุกข์ ไม่อยากไปไหน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนได้น้อยหรือบางทีค้าขายไม่ดี

ขณะที่พรของ นักศึกษาสาว วัย 22 ปี ซึ่งแม้ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ แต่ต้องใช้ชีวิตในเมืองหลวงนี้เพราะต้องเข้ามาเรียนนานกว่า 10 ปีแล้ว ส่วนตัวพักอาศัยจังหวัดรอยต่อเขตปริมณฑล “ถ้าขอพรได้” อยากเห็นกรุงเทพฯ รถไม่ติดในทุกๆที่ เพราะกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง รถยนต์ที่เเออัดในทุกที่เป็นปัญหาที่ไม่เคยแก้ไขได้ จึงต้องสูญเสียเวลาเดินทางมาก 

อีกทั้งพื้นผิวถนนไม่เรียบร้อย ขรุขระ ชำรุดทรุดโทรม ยังเป็นปัญหาต่อการสัญจรอีกด้วย กรุงเทพฯซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ควรจะเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยมากกว่านี้ และเป็นต้นเเบบที่ดีให้กับทุกจังหวัด

อีกด้านเป็น พนักงานบริษัท อาศัยอยู่กรุงเทพฯมานานกว่า 20 ปี เผยว่า ปัจจุบันหากเลือกการเดินทางได้ จะใช้รถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน เพราะสะดวก รวดเร็ว แต่เนื่องจากที่ทำงานยังไม่มีรถไฟฟ้าผ่าน “ถ้าขอพรได้” อยากขอให้จราจรไม่ติดขัด ให้การเดินทางคล่องตัว และมีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินหลายสายเชื่อมต่อกันเพื่อให้การเดินทางสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย

รวมทั้งอากาศและมลพิษ ไม่ต้องทนสูดควันดำจากรถยนต์ หรือ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และไฟทางส่องสว่างตอนกลางคืนเพื่อทุกพื้นที่จะได้ปลอดภัย

ปิดท้ายหนุ่ม พนักงานบริษัท อีกราย เล่าว่า ถึงตอนเด็กจะอยู่ต่างจังหวัดแต่ก็เข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ นานแล้วหลายสิบปี “ถ้าขอพรได้” โดยเฉพาะสิ่งที่อยากเห็นในปีหน้า อยากเห็นประเทศไทยสงบสุข ไม่มีรัฐประหาร ไม่มีการประท้วง มีนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างถูกต้อง อยากเห็นคนที่คิดต่างกัน พูดคุยกันโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์และพวกพ้อง อยากเห็นทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีแต่รอยยิ้ม

อยากให้ปัญหารวยกระจุก จนกระจาย หายไป ไม่ได้หวังให้ทุกคนรวยเท่า ๆ กัน แต่อยากให้ทุกคนพอมี พอกิน พอใช้จ่าย ไม่เดือดร้อน ทุกคนมีอาชีพ อยากเห็นการคมนาคมที่สะดวกขึ้น ทุกวันนี้ก็พอเริ่มเห็นบ้าง แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงมากเช่นกัน

นอกจากนี้ยังอยากเห็นสาธารณูปโภคที่ดี ประเทศที่สะอาด ทิ้งขยะให้ถูกที่ อยากให้คนมีจิตสำนึกสาธารณะมากขึ้น สุดท้ายอยากให้โรคระบาดหายไป เพื่อที่ทุกคนจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม “ไม่ต้องรักกันเหมือนญาติ ไม่ต้องดูแลกันเหมือนพี่น้อง แต่อยู่ร่วมกันให้ได้อย่างมีความสุขก็พอ”

คงเป็นเพียงคำขอพรของคนตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันและคาดหวังจะให้พื้นที่ที่ตัวเองใช้ชีวิต ถูกแก้ไขสิ่งแย่ๆ ตกแต่งเพิ่มเติมสิ่งดีๆ ในจำนวนพรที่ขอหลายเรื่องสะท้อนปัญหาตรงกัน นั่นยิ่งตอกย้ำว่าควรแก้ไขให้มากขึ้นจริงๆ 

อาทิ ปัญหาอันดับต้นๆที่ถูกพูดถึง แต่ปีแล้วปีเล่า เปลี่ยนผู้นำคนแล้วคนเล่า ปัญหาก็ยังอยู่ที่เดิม ทั้งเรื่องรถติดที่คนกรุงทนทุกข์ทรมานมานาน ไม่รวมสภาพที่ฝนตกหนักมาผสม ถนนที่เห็นอยู่กลับกลายเป็นคลองในพริบตา ปัญหาค่าครองชีพสูง แต่รายได้ดิ่ง สวัสดิการที่กลุ่มเป้าหมายยังเข้าไม่ถึง

ตัวอย่างจากพรที่ขอ หากสังเกตให้ดีล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนมีโอกาสร่วมทุกข์  ไม่ใช่พรที่ขอเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรืเพื่อตัวเองเพียงคนเดียว

“กรุงเทพฯ” สิ่งสวยงามก็มี แต่ปัญหาก็เยอะ หากเปลี่ยนแปลงได้ ควรเปลี่ยน…อย่างน้อยก็ให้คุณภาพชีวิตคนกรุงเข้าใกล้ ประโยคที่ว่า “กรุงเทพฯ ชีวิตดีดีที่ลงตัว” กับเขาสักปี.

ทีมข่าวชุมชนเมือง รายงาน