เมื่อวันที่ 2 ม.ค. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และรองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย พร้อม พล.ร.ต.สุรศักดิ์ ประทานวรปัญญา รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ภาค 2 ตำรวจ สภ.สิงหนคร จ.สงขลา ตำรวจน้ำสงขลา เจ้าหน้าที่กรมเจ้าท่าสงขลา เจ้าหน้าที่ศุลกากรภาค 9 และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน 9 ร่วมเดินทางมาที่ อู่เรือศรีสงขลา หมู่ 2 ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา เพื่อตรวจเรือที่ชุดปฏิบัติการด้านการประมง ร่วมกับเจ้าหน้าที่สืบสวน ศพดส.ตร ยึดไว้ 5 ลำ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.64

สืบเนื่องจากชุด ศรชล.ภาค 2 และตำรวจ บช.ภ.9 เข้าตรวจสอบ อายัด และสั่งกักเรือประมง “ปลอมแปลง” สัญชาติ ซึ่งลักลอบเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย 5 ลำ พร้อมลูกเรือ 15 ราย โดยแยกตามพฤติการณ์เป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 เรือประมง 3 ลำ ได้แก่ 1. เรือ KM.EDBERT JAYA 5 ขนาด 30 ตันกรอส เป็นเรือประมงของ นายพิทักษ์ อิ่มทั่ว ชาว จ.ปัตตานี ตรวจพบลูกเรือ 3 ราย 2. เรือ KM.KILAT MAJU JAYA 65 ขนาด 148 ตันกรอส เป็นเรือประมงของ นายพิทักษ์ อิ่มทั่ว ตรวจพบลูกเรือ 3 ราย 3. เรือ KM.HASIL MELIMPAH 12 ขนาด 30 ตันกรอส เป็นเรือประมงของ นายพิทักษ์ อิ่มทั่ว ตรวจพบลูกเรือ 3 ราย

เรือกลุ่มนี้ตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงชื่อบริเวณหัวเรือ จากชื่อเรือมาเลเซีย เป็นชื่อเรือและประดับธงอินโดนีเซีย ก่อนเดินทางออกจากท่าเทียบเรือ ประเทศมาเลเชีย มายังอู่เรือศรีสงขลา จ.สงขลา โดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร รวมทั้งไม่แจ้งกรมประมงและกรมเจ้าท่า

กลุ่มที่ 2 เรือประมง 2 ลำ ได้แก่ 1. เรือ JADE 3 EKS.FU YUAN YU 793 ขนาด 210 ตันกรอส เป็นเรือประมงของ นางสมสวย คงวัดใหม่ชาว จ.ปัตตานี ตรวจพบลูกเรือ 3 ราย 2. เรือ JADE 5 EKS.FU YUAN YU 794 ขนาด 207 ตันกรอส เป็นเรือประมงของ นายสุรัตน์ บัวผุด ชาว จ.ปัตตานี ตรวจพบลูกเรือ 3 ราย

เรือกลุ่มนี้ตรวจพบว่ามีการปลอมแปลงชื่อบริเวณหัวเรือ ปิดบังอำพรางชื่อและสัญชาติเรือ โดยการประดับธงชาติอินโดนีเชียเช่นกัน ก่อนเดินทางออกจากท่าเทียบเรือ ประเทศมาเลเซีย มาจอดพักที่ท่าเทียบเรือ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเดินทางมายังอู่เรือศรีสงขลา จ.สงขลา โดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร รวมทั้งไม่แจ้งกรมประมงและกรมเจ้าท่า เช่นเดียวกัน

เรือประมงทั้ง 5 ลำ มีลูกเรือรวมทั้งสิ้น 15 ราย เป็นบุคคลสัญชาติไทย 16 ราย กัมพูชา 2 ราย และเมียนมา 1 ราย และมีพฤติการณ์ในการแจ้งข้อมูลการเข้าออกท่าเทียบเรือช้ากว่าที่กำหนด และตัวแทนเรือดังกล่าวมีการยื่นเอกสารสำแดงเป็นเรือประมงสัญชาติอินโดนีเซีย แต่รายละเอียดในเอกสารไม่ตรงกับตัวเรือจริง ทั้งสัญชาติ ขนาดและเครื่องยนต์

การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานลักลอบนำเข้าเรือประมงเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ ฐานปลอมแปลงหรือปิดบังเครื่องหมายเรือประมงหรือทะเบียนเรือประมง ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชกำหนดประมง พ.ศ. 2558 มีโทษปรับตามขนาดเรือ ตั้งแต่ 6 แสนถึง 30 ล้านบาท ซึ่งเรือประมงทั้ง 5 ลำ จะต้องถูกปรับเป็นวงเงินรวมกันถึง 67.8 ล้านบาท

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเป็นผู้นำต่อต้าน IUU ในอาเซียน รวมถึงไม่มีการประมง IUUทั้งระบบ โดย 1.เรือประมงถูกต้อง ไม่ว่าเรือไทย เรือสัญชาติอื่น ทุกลำต้องมีทะเบียน มีสัญชาติเดียว และต้องแจ้งเข้า-ออก ตามกฎหมายทุกฉบับ 2.การทำประมงถูกต้อง เรือประมงไทยจะจับปลาต้องมีใบอนุญาต เครื่องมือประมงต้องเป็นไปตามมาตรฐานไม่ทำลายล้างทรัพยากรทะเล ไม่มีการจับสัตว์ทะเลคุ้มครอง สัตว์ทะเลสงวน เช่น โลมา วาฬ พะยูน รวมถึงการจับปลาในเขตพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ชายฝั่ง โดยเด็ดขาด และสุดท้าย 3.แรงงานประมงบนเรือถูกต้อง ทุกคนต้องเป็นแรงงานที่เข้าตามระบบ ได้รับค่าจ้าง สวัสดิการครบถ้วน มีเวลาทำงาน เวลาพักตามกฎหมาย ไม่มีแรงงานเด็กแรงงานบังคับ ไม่มีการขนถ่ายแรงงาน ค้ามนุษย์ทั้งกลางทะเลและบนบก โดยเด็ดขาด

“ผมเอาจริง และตั้งใจเต็มที่ ในการตัดเนื้อร้าย ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ให้ออกจากภาคประมงไทย คนเหล่านี้ต้องไม่มีที่ยืน ขณะเดียวกันพี่น้องชาวประมงที่ดีจะได้รับความคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า ประเทศไทยในฐานะรัฐเจ้าของท่า ยังคงมีระบบการควบคุมและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น เราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐ NGOs และพี่น้องชาวประมงที่ต้องการเห็นทะเลไทย ไร้ IUU จากปฏิบัติการวันนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมประมง กรมเจ้าท่า และกรมศุลกากร จะดำเนินการตรวจเข้มอู่เรือประมง ท่าเทียบเรือประมง และท่าเทียบเรือสนับสนุนการประมงทุกแห่ง เพื่อขจัดเรือประมงผิดกฎหมายเหล่านี้ให้หมดสิ้น และหากพบว่ามีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ก็จะดำเนินการเอาผิดโดยเด็ดขาด” ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าว

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า สำหรับการเดินทางมาตรวจสอบเรือประมงทั้ง 5 ลำในวันนี้ ได้ออกหมายจับไปแล้ว 18 คน เป็นเจ้าของเรือ 3 คน และลูกน้อง 15 คน และเร็ว ๆ นี้จะมีออกหมายจับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก ทั้งนี้เรือประมงที่จับมาได้ทั้ง 5 ลำ มี 1 ลำที่ล่าโลมา 11 ตัว มาฆ่าที่บนเรือด้วย.