เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ว่า การปรับมาตรการทุกด้าน มาตรการการเข้าเมือง มาตรการควบคุมโรค การกักตัว ซึ่งเมื่อช่วงเช้า ปลัดสธ. ได้แถลงไปแล้ว สถานการณ์การติดเชื้อยังต้องเฝ้าติดตาม ซึ่งจำนวนเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ต้องติดตามคนที่มีอาการหนักหรือไม่ ต้องใช้ไอซียูมากหรือไม่ ต้องเตรียมการเอาไว้ หวังว่าจะไม่เพิ่มมาก เพราะเรามีการฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว แต่กว่าจะเห็นผลจากระลอกนี้ต้องใช้เวลา 7 วัน แต่วันนี้ ติดเชื้อ 5,700 กว่าราย แต่ในแง่ดีคืออัตราการเสียชีวิตต่ำ 11 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อมาก่อนหน้านี้

ดังนั้นต้องดูว่าระลอกนี้เราจะรักษาระดับของการคนมีอาการหนัก และเสียชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าดูระดับที่เพิ่มขึ้นนี้ก็เป็นไปตามอัตราปกติก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้เร็ว ทั้งนี้การรักษาขอให้เป็นไปตามการตัดสินใจของแพทย์ หากไม่มีอาการก็ต้องเก็บเตียง อุปกรณ์การแพทย์ และรักษาบุคลากรการแพทย์ไว้สำหรับดูแลผู้มีอาการ ซึ่งปัจจุบันผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ก็ไม่มีอาการเพราะได้รับวัคซีนแล้ว ร่างกายแข็งแรง ติดเชื้อก็ให้ใช้มาตรการ HI/CI

นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ประเมินสถานการณ์ทุกวันและควบคุมสถานการณ์ให้ได้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมมาเท่าที่เราจะทำได้ ของแบบนี้ต้องร่วมมือกัน ส่วนจะยกระดับมาตรการอย่างไรหรือไม่นั้น ก็ย้ำว่าสุขภาพสำคัญที่สุด มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อสุขภาพไม่ได้ การทำมาหากินก็สำคัญ แต่เราต้องมีสุขภาพที่ดีก่อนจะได้ไปทำมาหากินได้

เมื่อถามว่าการยกระดับเตือนภัยระดับ 4 จะไม่มีการล็อคดาวน์ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็พยายามเต็มที่ ยังไม่สามารถบอกอะไรได้อย่างชัดเจน แต่ทางกรมควบคุมโรค คงจะเสนอขอให้พิจารณายกระดับพื้นที่ให้เป็นสีส้ม และจะทำให้เกิดข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นจุดแพร่เชื้อมากที่สุด อีกเรื่องคือการเข้าประเทศ ผ่านระบบ Test & Go ที่จะขยายการรับนักท่องเที่ยวค้างท่อ จากเดิมเดดไลน์ว่าต้องเข้ามาภายในวันที่ 10 ม.ค. ก็จะขยายเป็นวันที่ 15 ม.ค.นี้ ที่เราต้องจำกัดเรื่อง Test & Go เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตอนนี้พวกเลี่ยงบาลีมีเยอะ นักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อประกันมามีกระดาษบอกว่าคุ้มครอง 5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ แต่ข้างในจริงๆ เขียนต้องเข้ารพ. ต้องมีใบรับรองแพทย์เฉพาะทางต่างๆ เลี่ยงบาลี สักแต่ว่าจะได้เข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นต้องบอกการท่องเที่ยวให้คัดกรองคนเหล่านี้ด้วย วันนี้ต้องให้ชัดเจน แล้วมาบอกว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ยอมรับนักท่องเที่ยวเข้าไทย แต่จริงๆ ประกันไม่ครอบคลุม รพ.เอกชนเขาไม่รับ นอกจากว่าเขาจะจ่ายเอง

“เราจะเอาเงินภาษีคนไทยไปดูแลคนต่างชาติที่เลี้ยงบาลีคงทำไม่ได้ จึงต้องคัดกรอง และตัดวงจรใครจะมาต้องเข้าระบบกักตัว หรือ แซนบ็อกซ์ที่ขยายไปพังงา กระบี่ สมุย จะได้ไม่ไปโหลดที่ภูเก็ต ดังนั้นเราต้องคัดนักท่องเที่ยวด้วย ส่วนตัวในฐานะที่ดูการท่องเที่ยวด้วยก็ได้บอกไปชัดเจนว่าอย่าเน้นปริมาณ แต่เน้นว่ามาแล้วเคารพคนไทย เกรงใจประเทศไทยไม่เอาเอกสารปลอมมาแสดงการเข้าเมือง” นายอนุทิน กล่าว  

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ได้มีการจัดเตรียมระบบ 1330 รองรับผู้ป่วย และมีเจ้าหน้าที่คอยรับโทรศัพท์ถึง 300 คน ตลอด 24 ชม. โดยวันนี้มีผู้ป่วยโทรเข้ามาในระบบ 1,709 คน ซึ่งส่วนใหญ่หากไม่มีโรคประจำตัวก็จะให้อยู่ในระบบ HI แต่หากมีโรคประจำตัว เป็นผู้สูงอายุ ไม่ได้รับวัคซีนก็ต้องรับการรักษาตัวในรพ. โดยขณะนี้ได้รับงบประมาณ เพิ่มที่ขอไว้ในวงเงิน 31,000 ล้านบาทแล้ว โดยรัฐบาลโอนให้แล้ว 2,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อทั้งระบบการคัดกรองการดูแล เป็นค่าอาหารยา อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งสปสช. มา ในช่วง โควิด ต้องมีการของบประมาณเพิ่มเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อยังไม่รู้ว่าสถานการณ์โควิดจะสิ้นสุดเมื่อไหร่.