จัดเป็นอีกหนึ่งสาวที่โลดแล่นในวงการมานานมากสำหรับสาว แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ซึ่งพักหลังไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็เป็นประเด็นตลอด มักจะถูกวิจารณ์และถูกจับตาเป็นพิเศษ โดยแต้วเองก็ยอมรับและเรียนรู้จากบทเรียนในโซเชียล เผยเคยเป็นโรคแพนิกเพราะพยายามที่จะเพอร์เฟกต์ พร้อมทั้งแย้มเรื่องหัวใจที่ตอนนี้ลงตัวแฮปปี้มาก คลั่งรักถึงขนาดต้องจดไดอารี่ไว้ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นใน Woody FM แบบจัดเต็มนั่นเอง


แต้ว เผยว่า “การใช้ชีวิตที่เป็นข่าวตลอดเอาจริงๆ แต้วเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ ได้ฉายาว่าเป็นคนที่ไม่มีข่าวด้วย แล้วอยู่ดีๆ อะไรก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำอะไรก็ถูกวิพากวิจารณ์ไปหมด ทุกอย่างที่เราใส่เข้าไปในโซเชียลมีเดียมันคือการที่เรากดโพสต์เอง ต้องรับผิดชอบทุกอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยอมรับ ยอมรับเลย มันอาจจะมีคำพูดที่บางคนรู้สึกว่ามันเจ็บจังเลย แต่แต้วเข้าใจว่าเขาไม่ได้รู้จักแต้วในทุกมิติ เพราะฉะนั้นมันไม่ผิดที่เขาจะมองเห็นบางมุมแล้วตัดสินเราไปบ้าง เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าโอเคไม่เข้าใจไม่เป็นไร แต่คนรอบข้าง แม่ พี่ เก็ตนะ ทุกคนโอเคนะ ก็โอเค ทุกครั้งที่เราเต้นหรือใส่ชุดว่ายน้ำถามว่าคิดไหมว่าเดี๋ยวเขาต้องไปโพสต์ เขาต้องไปเขียนข่าวเรา อันนี้แต้วมองว่าโซเชียลมีเดียมันคือ Diary แต้วอ่ะ ว่าเราจะได้กลับมาดู Remind ว่าวันนี้ไปนั่นนี่ แฮปปี้ หรือ ไม่แฮปปี้ แค่นั้น”

“กับณัยเดทแรกแฮปปี้ค่ะ กินข้าวอาหารอร่อย (หัวเราะ) ทุกอย่างก็ดีค่ะคือแต้วจะเป็นคนค่อนข้างแมนมากเลย กับครอบครัวเอง กับญาติพี่น้อง แล้วเรารู้สึกว่าเราจัดการได้โน้นนี่นั่นไม่ค่อยอ่อนแอ แต่กับเขามันทำให้เราดูตัวเล็กๆ ลงมา (หัวเราะ) คือความจริงจังบางอย่าง Relationship ที่ทำให้เรารู้สึก โอเค ยอมก็ได้ เรื่องที่ไม่เคยบอกใครแม้แต่ณัย อย่างที่บอกเราแฮปปี้ทุกคนก็คงดูออก เด็กอมมือก็ดูออก (หัวเราะ) มันแฮปปี้จนเรารู้สึกอยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ เพราะชีวิตที่ผ่านมามันสอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรยั่งยืน แม้กระทั่งเรื่องคุณพ่อ เราอยากเก็บมันไว้ ไม่รู้ว่ามันจะเก็บไว้ได้ด้วยวิธีไหน ภาพมันก็เล่าไม่ได้ ก็เลยเขียน Diary ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอ เขียนว่าเรารู้สึกยังไง Can take my eyes คือ ณ ตอนนั้นมันจริงในความรู้สึก เราก็เลยอยากเก็บมันเอาไว้ สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปที่ความเป็นจริงแหล่ะ ไม่มีใครเพอร์เฟกต์เลย เพราะฉะนั้นคืออย่ามองหาพยายามเข้าใจส่วนที่มันอาจจะไม่เพอร์เฟกต์ของเขา หรือดูว่าเขารับในส่วนที่เราไม่เพอร์เฟกต์ได้ไหม”

แต้ว เล่าต่อว่า เรื่องที่หนักสุดในชีวิตแต้วคงเป็นเรื่องที่แต้วเป็น แพนิก (Panic) คือแต้ววิเคราะห์ตัวเองนะว่าแต้วเป็นแพนิกก็ต่อเมื่อไม่โอเคกับสภาพร่างกาย คือ ไม่โอเคกับการหนาวเกินไปหรือว่าเจ็บปวดท้อง เหมือนเป็นอะไรที่คอนโทรลมันไม่ได้แล้วเราก็จะแพนิก รู้สึกว่าเราไม่สมควรจะอยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่ที่ๆ ปลอดภัย แต่ไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน เคว้งคว้าง หายใจไม่เข้า มันตะเกียกตะกายอยู่ข้างใน ทั้งๆ ที่ข้างนอกอาจจะดูปกติ เป็นมา 4-5 ปี ได้แล้วค่ะ ครั้งแรกเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลค่ะ เหมือนช่วงนั้นคงเครียด อาจจะด้วยความที่เราพยายามเพอร์เฟกต์ อยู่ดีๆ ก็ปวดท้องไม่มีสาเหตุ ลำไส้แปรปรวน กลัวไปหมดเลย กลัวมันจะมาอีก คือรู้ว่าจะข้ามมันไปได้ก็ต่อเมื่อมียา ต้องเอายาไปทุกที่ แต่เราก็คิดว่าจะใช้ชีวิตโดยไม่พึ่งเขาให้ได้ ก็ค่อยๆ ฝึกลมหายใจ ลดยาลง แต้วว่าเหมือนเราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ล่าสุดที่เป็นคือที่เกาหลี แล้วก็บอกคุณพ่อ พ่อก็บินจากกรุงเทพฯ มาหาที่เกาหลีเลยแล้วก็มากอด ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นกอดที่เราจำสุดๆ เลย เหมือนเขาจะดูดทุกอย่างที่เรารู้สึกไปหาเขา”

“ความทรงจำสุดท้ายตอนดูแลคุณพ่อช่วงนั้นเป็นโควิด เราก็ได้ตื่นมาเจอกันใช้ชีวิตด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ชงกาแฟให้พ่อให้แม่ จนคุณพ่อเกิดอุบัติเหตุ วันนั้นแต้วถ่ายโฆษณาอยู่ คุณแม่ไปด้วยตามปกติ อยู่ดีๆคุณแม่ก็เฟดออกไปทำธุระ แล้วสุดท้ายผู้จัดการก็เดินมาบอกเกิดเรื่อง สั่นเลยตัวชา ต้องยกกองเพื่อไปโรงพยาบาล โดยที่ไม่รู้ว่ามันแย่อะไรขนาดไหน เห็นว่าพ่อทรมานมาก เราไม่ร้องไห้เลยนะตั้งแต่วันนั้น เพราะต้องมีสติมากๆ การพาพ่อไปหาหมอที่รักษาได้ ต้องจัดการโน่นนี่นั่น แล้วก็อยู่แบบนั้นกันเกือบ 20 วันในการไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ มาเลคเชอร์กับหมอว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร วินาทีต่อวินาที มีความหวัง หมคความหวัง สุดท้ายก็ค่อยๆ คุยกันและยอมรับกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็เกิด จนถึงวันสุดท้ายที่เราเก็บบรรยากาศทุกอย่าง แม่ก็คุยกับพ่อ ไม่รู้ว่าเขารับรู้หรือเปล่า จดจำทุกวินาที ตอนนี้ทุกเช้าแต้วก็ยังชงกาแฟให้พ่ออยู่ตอนนี้ ท่านดื่มอเมริกาโน่ จริงๆ เราเป็นคนไม่ทานกาแฟแต่แบบดื่มด้วยกัน คุยกันในใจ (ร้องไห้) คุณแม่เอง แต้วก็คุยกับท่าน แต่คุณแม่เข้มแข็งมาก เป็นกำลังใจให้กัน คุณแม่เป็นทุกอย่างในตอนนี้ คุณแม่จะชอบพูดว่าเหลือกัน 2 แล้วนะ นึกถึงวันนี้และต่อไปเพราะเราเหลือกันแค่นี้ ก็ค่อนข้างอยู่กับความกลัวเหมือนกันค่ะ”