เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลเเขวงพระนครเหนืออ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการ โจทก์ และนางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยานายชูวงษ์ แซ่ตั้ง หรือ เสี่ยจืด โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายชาญศักดิ์ ธนเตชา นักธุรกิจ เป็นจำเลย ในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานพนักงานสอบสวนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172

คุก2เดือนซี้’บรรยิน’ให้การเท็จ ช่วยพ้นผิดคดีฆ่าเสี่ยจืด

กรณีนายชาญศักดิ์ ให้ปากคำแก่คณะพนักงานสอบสวนคดีปลอมแปลงเอกสารสิทธิการโอนหุ้น และคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ เกี่ยวกับช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ขับรถออกจากสนามกอล์ฟ ในวันที่ 26 มิ.ย.58 บิดเบือนไป ซึ่งเป็นวันที่นายชูวงษ์ นั่งโดยสารรถมาด้วยกับ พ.ต.ท.บรรยิน แล้วเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต

โดยชั้นการพิจารณาของศาลชั้นต้น (ศาลแขวงพระนครเหนือ) นายชาญศักดิ์ จำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาจำคุก 2 เดือน โดยการรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุก เป็นการกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน

โดยโจทก์ร่วม และจำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่งจำเลย ได้ยื่นประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดี

โดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สรุปว่า ที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์ว่าไม่สมควรลดโทษแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 นั้น การลดโทษตามมาตรา 78 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะต้องพิจารณาว่ามีเหตุสมควรลดให้หรือไม่ คดีนี้จำเลยรับสารภาพ และโจทก์กับโจทก์ร่วมมิได้สืบพยานจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าโจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานหลักฐานเป็นอย่างไร และจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐานเช่นว่านั้น คำรับสารภาพย่อมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามมาตรา 78 สมควรลดโทษให้จำเลย ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้จำเลยจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์ในประการต่อไปโดยโจทก์ร่วมขอให้ลงโทษจำเลยสถานหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172 โดยไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขัง และจำเลยขอให้รอการลงโทษจำคุก ลดโทษกักขังหรือเปลี่ยนโทษกักขังเป็นรอการกำหนดโทษจำคุกนั้น

ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย กับไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบุคคลอื่นและผลกระทบต่อความเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมเพราะเป็นช่องทางให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรที่จะเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนหรือลดโทษหรือรอการกำหนดโทษให้แก่จำเลย และแม้จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อนหรือมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นๆ ตามที่จำเลยอุทธรณ์ก็เป็นเหตุผลส่วนตัวไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขัง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เท่ากับจำเลยต้องรับโทษจำคุก 1 เดือน ตามคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นลงโทษ โดยจำเลยยังใช้สิทธิยื่นฎีกาได้ ซึ่งจำเลยได้ยื่นประกันตัวไปในชั้นฎีกา