เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบร้านอาหารริมหาดแม่รำพึง ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ใกล้กับจุดที่คราบน้ำมันลอยขึ้นมา พบว่าบรรยากาศเงียบเหงาตลอดแนวชายหาด ไม่มีนักท่องเที่ยว แต่มีบางร้านยังเปิดขายอาหารทะเลริมหาดตามปกติ แต่ไม่มีลูกค้า

จากการสอบถาม น.ส.อัมพร แซ่เหลา อายุ 40 ปี เจ้าของร้านเจ้แมวซีฟู๊ด ริมหาดแม่รำพึง เปิดเผยด้วยความอัดอั้น พร้อมยกปลัดขิก ขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว ยาว 20 นิ้ว ขึ้นมา พร้อมตะโกนว่า “หลวงพ่อก็ช่วยไม่ได้แล้วคราวนี้” ปูเป็น ปลาเป็น หอยมะระ ที่สั่งมาหลายสิบกิโลกรัม กำลังจะเน่าตายกันหมดแล้ว ซึ่งหลังเกิดเหตุน้ำมันเกยชายหาดแม่รำพึง ตนก็ไม่มีลูกค้าเลย อาหารทะเลสดที่สั่งมาก็ต้องแจกจ่ายพนักงานในร้านกลับไปกินกัน ผ่านมา 2 วัน ปลากะพงขาวตายไปกว่า 20 ตัว ปู กุ้ง หอย ก็ใกล้จะตายหมด ไม่มีน้ำทะเลมาเปลี่ยน เพราะน้ำในทะเลมีแต่น้ำมันกับสารเคมีปนเปื้อน เดือดร้อนขายของไม่ได้ขาดทุนยับ แล้วต่อจากนี้ไปใครจะรับผิดชอบ เพราะทาง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวว่า ให้หยุดกินอาหารทะเลในพื้นที่น้ำมันรั่ว แล้วจะไปขายให้ใคร วอนทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเยียวยา เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายทุกวัน

เช่นเดียวกับแม่ค้าริมหาดแม่รำพึงอีกหลายราย ที่ต่างก็ต้องการความชัดเจนจากทางภาครัฐและทางบริษัท สตาร์รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน ว่าจะมีมาตรการในเรื่องความช่วยเหลือเยียวยาที่ชัดเจนอย่างไร เพราะผลกระทบครั้งที่แล้ว การจ่ายชดเชยไม่มีมาตรฐาน ร้านค้าเหมือนกันแต่ได้รับการชดเชยไม่เท่ากัน บางร้านได้หลักแสน บางร้านได้แค่หลักหมื่น จึงต้องการให้มีการประกาศการเยียวยาที่ชัดเจนว่าจะชดเชยเท่าไหร่อย่างไร อย่าปล่อยให้มีการกินค่าหัวคิวบนความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยอีกเลย แค่นี้ก็สาหัสแล้ว ไม่รู้ว่าจะนานอีกกี่เดือนกี่ปีจึงจะกลับมาเหมือนเดิม

สำหรับบรรยากาศของหาดแม่รำพึงและชายหาดก้นอ่าว ตลอดแนวชายหาด ไร้เงานักท่องเที่ยว ร้านขายอาหารกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ปิดร้าน จนทำให้บรรยากาศกลายเป็นหาดร้าง ยกเว้นบริเวณตรงจุดที่มีการเก็บกู้คราบน้ำมัน.