ถือเป็นอีกหนึ่งพิธีกรสาวสวยใจบุญที่หลายคนชื่นชอบหนักมากสำหรับสาว ได๋ ไดอาน่า ผู้อยู่เบื้องหลังเพจเราต้องรอดที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 และวันนี้จะมาเผยความรู้สึกในการลงพื้นที่ รับโทรศัพท์เองจนจิตตกหวิดเป็นซึมเศร้าถึงขั้นซ้อมตายทุกคืน แถมควักเงินส่วนตัวเกือบ 10 ล้านเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด ผ่านรายการคุยแซ่บ show แบบหมดเปลือก

ได๋ เล่าว่า “ที่ผ่านมาเพื่อนๆ ในวงการซัพพอร์ตเราเยอะมาก ถ้าเกิดว่าดูในศูนย์พักคอยจะชี้ได้เลยกล้องวงจรปิดนี้มาจากพี่โดมกับเมทัล เตียงมาจากฮาน่า เตียงผู้ป่วยมาจากพุฒิ จุ๋ย ลิเดียส่งของเล่นมา เพื่อนๆ ทุกคนอยากช่วยนะแต่ลูกเล็กก็เลยส่งของมาช่วยแล้วกัน จุดเริ่มต้นมันมาจากจ๊ะ นงผณี เราสองคนช่วงไม่มีงานเราก็จะคุยกันตลอด แล้วจ๊ะก็บอกว่ามีคน DM มาในไอจีบอกว่าติดโควิดทำยังไงดี เราช่วยเขากัน แล้วเราอยู่ในจุดที่เราช่วยได้ แล้วพอได้มาเคสแรก มันก็มาอีกเรื่อยๆ เราก็เลยคิดว่าเราทำเพจดีกว่าเพื่อจะได้เอาทุกข้อความในเพจ จะได้มีแอดมินมาช่วย เผื่อเวลาเราทำงานจะได้มีคนรับเคสได้ ตอนที่เปิดเพจคือวันที่ 25 เมษายน ช่วงนั้นสถานการณ์มันยังไม่กลายพันธุ์ ส่วนมากถ้ารอนานเกินไปเขาอาจจะเสียชีวิต ณ ตอนนั้นทุกการประสานทุกนาทีมันมีความหมายและมีคุณค่ามาก ถ้าช้านิดเดียวมันจะไม่ทัน”

“ตอนเปิดเพจทีมงานตอนนั้นไม่มีใครเลย มีได๋ ผู้ช่วยได๋ จ๊ะ แล้วผู้ช่วยจ๊ะคือพี่สาว ทำกัน 4 คน แล้วช่วยกันตอบ ตอบเสร็จแล้วไม่รู้จะทำยังไง เราก็จดๆ ข้อมูลไว้ก่อนแล้วโทรฯหาคนนู้นคนนี้ แต่พอเราทำไปเรื่อยๆ จากแรกๆ เรามีคนติดต่อเข้ามาประมาณ 30 เคส เป็น 100 เคส 1,000 เคส มันก็ค่อยๆ หาคนมาเป็นแอดมิน แล้วก็มีนิหน่ามาช่วย นิหน่าเป็นผู้บริหาร เขาก็ช่วยจัดแจงคนมาเป็นอาสาในส่วนต่างๆ เราช่วยมาแล้ว ตอนนี้น่าจะ 4 หมื่นราย แต่ว่า 4 หมื่นรายไม่ใช่ว่าเราช่วยเองทุกอย่าง เราก็ช่วยประสานงาน ต้องยอมรับว่าเหนื่อย แต่พอเราเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ เห็นคนแก่เขาหายเราก็หายเหนื่อยไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม”

ได๋ เล่าต่อว่า “ตอนทำเพจแรกๆไม่ได้หลับไม่ได้นอน หนักขนาดที่ว่ามีคนเสียชีวิตในสายโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลต่อหน้าเราวันละ 10-20 ราย คือวิธีการทำงานของเรา เราไม่ได้เป็นหมอ อาสาก็จะรายงานเข้ามาให้คุณหมอรู้ ซึ่งเราอยู่ในนั้นด้วย เราก็ช่วยประสาน แต่บางทีก็ไม่ทันเขาก็เสียชีวิต มันก็เลยหนัก ร้องไห้ตลอดเวลา แต่ว่ามันต้องปาดน้ำตาออกเวลาคนโทรฯเข้ามาเราต้องให้กำลังใจเขา แล้วเราก็ต้องห้ามอ่อนแอ เราต้องสู้ เพราะว่ามีคนที่เขาต้องการให้เราช่วย มันเคยมีอยู่เคสนึงที่เราไปทำงาน แล้วเราก็วางโทรศัพท์ไว้ แล้วเราโทรฯกลับไป ญาติเขาบอกไม่ต้องโทรฯกลับมาแล้ว เขาตายแล้วค่ะ ความรู้สึกเราคือแบบ…หนูขอโทษ คือถ้าเราไม่ทำงาน เขาน่าจะมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่เราโทษตัวเองทุกคืนว่าแบบทำงานทำไม ถ้าเราไม่ทำงานเขาจะรอด มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ก็เลยเลือกที่จะไม่ทำงานดีกว่า ก็เลยไม่ทำเลย”

“ตอนนั้นมีอยู่ช่วงนึงที่เราโทษตัวเองว่าแบบ คุณมีสิทธิอะไรที่มีชีวิตดีแบบนี้ คือโทษตัวเอง แบบทำไมตื่นมาห้องมีเอง ทำไมมีเงิน ทำไมอยากได้อะไรก็สามารถซื้อได้ คุณมีสิทธิอะไรที่จะมีความสุขสบายขนาดนี้ ในเมื่อยังมีคนอื่นลำบากมากมายขนาดนี้ คุณเป็นใครเหรอ พอเรารับเคสเยอะๆ แล้วเด็กๆ เราต้องไปรับเอง นั่งอยู่ในรถคอยบอกคุณแม่ อยู่กับชาวบ้านเราเห็นเลยว่าคนที่เขาไม่มี เขาไม่มีโอกาสที่จะมีลมหายใจต่อ แต่เราคือคนที่มีโอกาสเยอะมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่เราต้องปรับตัวเองก็เลยใช้วิธีลบเหมือนเวลาที่เราทำการแสดง พอเราอินเสร็จเราคัตแล้วต้องเอาต์ออก ถ้าไม่เอาต์ออกน่าจะอยู่ไม่ได้ เพราะเราเอาใจไปผูกกับทุกคน เอาใจไปผูกกับคุณตา คุณยาย เราโทรฯคุยกับเขา เรารู้สึกแบบยายต้องสู้นะคะ แล้วพอวันที่ยายไม่รอดเราจะดิ่ง หรือทุกคนอะเราผูกใจไปกับเขาหมด ตอนนั้นพอหลับตาปุ๊บเราจะเห็นหน้ายาย จะเห็นหน้าศพทุกคนที่เราแบบทำไมคนนี้ช่วยไม่ได้ ทำไมคนนี้ไม่ทัน เราพลาดตรงไหน เพราะปกติเราทำงานเราจะกลับมาย้อนดูตัวเองเสมอว่าวันนี้เราพลาดตรงไหน เพื่อที่จะทำงานของตัวเองให้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ณ ตอนนั้นเราโทษตัวเองตลอดเวลา และโชคดีมากที่ตอนนั้นนิหน่าอยู่กับเราตลอด บางทีก็โทรฯไปกรี๊ดใส่ ร้องไห้ใส่ แล้วแบบโอเคหายแล้ว ไปรับเคสก่อนนะ มันเป็นความรู้สึกที่ว่าพอมันดาวน์แล้วมันถมแล้วทับๆ กัน มันก็เลยเหมือนต้องเคลียร์ตัวเองทุกวัน”

พิธีกรดัง เล่าอีกว่า “อย่างเป็นซึมเศร้า ก็มีคนโทรฯมาหาเยอะมาก เพราะตอนนั้นที่มีคลิปไวรัล เหตุการณ์อย่างนั้นมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ก็มีคุณหมอ เพื่อนๆ ที่เป็นจิตแพทย์โทรฯมาคุย เฮ้ย..ไม่ต้องห่วง เราโอเค เพราะเรารู้ตัวว่าเรากำลังจะดิ่งก็ดึงตัวเองกลับขึ้นมา ถามว่าซึมเศร้าไหมก็ไม่ซึมเศร้าหรอก แค่เข้าใจและปลงว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพียงว่าโควิดมันทำให้เราเห็นทุกอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าคนเราวันนึงมันก็ต้องตาย มันทำให้เรารู้สึกว่าเราใช้ทุกนาทีให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น แล้วรักทุกคนมากยิ่งขึ้น พอช่วงเคสซาๆ แบบนี้ก็จะมีโทรฯไปขอโทษเพื่อนที่แบบวันนั้นกินข้าวแล้วเราไม่อยู่ตรงนั้น คนรอบข้างเข้าใจ แล้วก็น่ารักมาก คือเขาให้อาหารเราทุกวัน เราเป็นคนชอบลืมกินข้าว เขาก็จะเป็นคนเอาอาหารมาวางให้ แต่ว่าเคยทะเละกัน เพราะว่าเขาไม่เคาะ บางทีเขาเอาอาหารมาวางเราไม่เห็น บางทีมันเย็นหมดแล้ว แล้วเขาก็โกรธทำไมไม่กิน เราก็บอกทำไมไม่บอก วันหลังเคาะดิ หลังๆ ก็มีเคาะจาน มาเขย่าตัวว่ามากินข้าว เราก็เลยบอกเขาว่าเราเหมือนทำบุญร่วมกัน โอเคๆ หนูช่วยคน พี่ช่วยหนู ก็ถือว่าพี่ทำบุญด้วย”

“แฟนไม่เท่าไหร่ คุณพ่อ คุณแม่มากกว่า คือปกติแม่จะตามไปกับเราทุกงานตั้งแต่เด็ก แต่นี่ปีกว่าแล้วที่ไม่ให้เขาไปไหนด้วยเลย แล้วไม่เข้าไปหาเขาที่บ้าน ช่วงที่รับเคสหนักๆ จำได้เลยวันเกิดตัวเอง แม่เขาตุ๋นรังนกให้แล้วเอามาให้กิน แล้วเราต้องอยู่หน้าบ้าน เราไปช่วยเคสเราไม่รู้ว่าเรามีซากเชื้อติดผม ติดอะไรไหม ก็เลยไปจอดอยู่หน้าบ้าน แล้วแม่ก็เอารังนกมาให้กินในรถ เรากิน แล้วก็บ๊าย บาย นะ แม่เขาก็จะงอนนิดหน่อยเหมือนเราทิ้งเขาหรือเปล่า แต่จริงๆ เราเป็นห่วงเขา”

“ส่วนเรื่องควักเงินตัวเอง เกือบ 10 ล้านช่วย จริงๆ ปกติเป็นคนใช้เงินประหยัด คือปัจจัยหลักที่ไม่สามารถให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้คือสถานะเขาไม่อำนวย เราอาจจะไม่ได้มีเงินเยอะมาก แต่มันช่วยอำนวยความสะดวกได้ทำไมเราไม่ทำ ช่วงแรกๆ ก็หงุดหงิด ได้สถานพยาบาลแล้ว เขารับแล้ว แต่ไม่มีรถ ก็เลยซื้อรถ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี่ไม่ได้เราลงคนเดียว แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี่ส่วนนึงที่เป็นของเรา แต่ก็มีเพื่อนๆ บอกว่าพอแล้วไม่ต้องจ่าย ที่ไม่เปิดรับเงินเลย เราไม่อยากให้มีข้อครหาว่าเอาเงินไปใช้ เราใช้และบริหารให้ถูกวัตถุประสงค์อยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง เพราะว่าร้อยคนก็ร้อยความคิด วันนี้สิ่งที่เพจต้องการคือสถานการณ์มันเปลี่ยนทุกวัน วันก่อนเพิ่งได้ที่นอนปิกนิกมา เพราะว่าศูนย์เรารับได้ 120 คน มันก็ต้องบริหารจัดการให้ได้ แล้วผ้าห่มไม่สามารถซักได้ เพราะไม่รู้ว่าเชื้อจะลงไปในน้ำ น้ำจะลงไปที่ไหน จะไปทำให้ชุมชนเขามีเชื้อในน้ำหรือเปล่า มันพูดยาก เพราะว่าในแต่ละวันสถานการณ์เปลี่ยน แต่ว่าหลักๆ ช่วงนี้จะเป็นชุดตรวจ ATK เพราะว่าโอมิคอนมันร้ายกาจมาก บางทีตรวจอันแรกไม่เจอ อันที่สองไม่เจอ ไปเจออันที่สาม แล้วชุดตรวจแต่ละอันมันคือค่าใช้จ่าย มีบัตรเติมน้ำมัน ผ้าห่ม ขนม อาหาร ผ้าอ้อม”

ได๋ เล่าเพิ่มเติมว่า “เรื่องที่ได๋โพสต์ล่าสุดดูดราม่าไม่ได้น้อยใจใคร เชื่อไหมโพสต์นี้โพสต์เดียวมีคนร้อนตัวเยอะมาก เพราะจุดมุ่งหมายเดียวของเราคือช่วยคนจริงๆ  แต่มีระหว่างทางที่มีบางคนใช้โอกาสนี้เป็นแพลตฟอร์มในการทำอะไรบางอย่าง ถ้าเป็นปกติก็คงจะฟาด แต่ถ้าเรามองถ้าเราช่วยคนได้ก็มองผ่านไป แล้วข้ามไป เพื่อให้เราได้ช่วยคนเท่านั้นก็พอ มีคนมาแสวงหาผลประโยชน์จากการที่ได๋เปิดเพจ เราต้องเข้าใจว่าโควิดจะมี 2 แบบ คนที่ช่วยด้วยใจจริงๆ แล้วคนที่ช่วยแล้วมีประโยชน์แอบแฝง ก็ทำธุรกิจแหละ บางที่เขาบอกว่าตรวจฟรีนะ แต่ว่าเขาจะไปเบิกนะ บางทีเราก็ไม่รู้ เราก็ส่งเคสไปให้เขาเยอะแยะ ส่งไปเป็นพันเคส แล้วคิดดูแล้วกันเขาไปเบิกต่อหัวเท่าไหร่ และคำพูดที่ว่า เอาเป็นว่าคนที่เอาหน้าสุดฤทธิ์กับโควิดเขาจะรู้เองว่าเราพูดถึงใคร”