เมื่อวันที่ 19 ก.พ. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการติดตามการอภิปรายของนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. อาจจะทำให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เข้าใจผิดได้ นายศรัณย์วุฒิ มาปรึกษาหารือข้อมูลที่จะอภิปรายเกี่ยวกับตัวเลขทางบัญชีกับตนจริง ต่อมาในการอภิปราย จึงกล่าวอ้างถึงตนหลายครั้งหลายตอน คำพูดของนายศรัณย์วุฒิ มีข้อเท็จจริงจากการที่นายศรัณย์วุฒิ มาขอคำปรึกษาเรื่องการเรียกคืนคลื่น 2600 จาก อสมท ตนสรุปให้ฟังว่ามีการอนุมติจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว 3,000 กว่าล้านบาท ต่อมามีการไปฟ้องศาลปกครองเพื่อเรียกค่าชดเชยเพิ่มเป็น 17,000 กว่าล้านบาท จึงได้แนะนำให้นำคำฟ้องศาลปกครองมาพิจารณากับงบการเงินของบริษัทเอกชน โดยการขอข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่าขณะเดียวกันได้ตั้งข้อสังเกตให้นายศรัณย์วุฒิทราบ เป็นการให้คำปรึกษาในฐานะนักบัญชีเท่านั้น ที่นายศรัณย์วุฒิกล่าวอ้างว่า “ผมกับอาจารย์เรืองไกรตกลงกันแล้ว” หรือ “ผมกับอาจารย์เรืองไกรจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” คงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะนายศรัณย์วุฒิเป็น ส.ส. เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ คงไม่สามารถทำความตกลงกับตน หรือติดตามเรื่องนี้กับตนได้ เพราะตนไม่ใช่สมาชิกพรรคเพื่อชาติ เป็นบุคคลภายนอก หากไปกระทำการใดๆ ตามที่กล่าวอ้าง ย่อมสุ่มเสี่ยงจะทำให้พรรคเพื่อชาติโดยกล่าวหาว่า ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 และตนย่อมเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 29 ตามมาอีกด้วย จึงขอปฏิเสธคำกล่าวอ้างในส่วนนี้โดยสิ้นเชิง

นายเรืองไกรกล่าวด้วยว่าในการอภิปรายของนายศรัณย์วุฒิ ที่พาดพิง พล.อ.ประวิตร รวมทั้งน้องชาย และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนแต่อย่างใด แต่ถ้าหากในภายหลังพบประเด็นที่ควรตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี หรือนักการเมืองรายอื่นๆ คงจะดำเนินการด้วยตนเองโดยลำพัง ดังที่เคยปฏิบัติมา แต่ในกรณีตามที่มีการอภิปรายมาทั้งหมดนั้น ยังไม่เห็นมูลกรณีที่มีน้ำหนักจะทำการตรวจสอบ พล.อ.ประวิตร ต่อไป ผู้ใหญ่ในพลังประชารัฐหลายคน ได้สอบถามตนจำนวนมาก จึงมีความจำเป็นต้องส่งหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร เพื่ออธิบายความเป็นมาเป็นไปให้ชัดเจนและเข้าใจกันทุกฝ่าย