ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าของคนในวงการบันเทิง หลังล่าสุด ลูกสาวของนักร้องและนักแสดงคนดัง ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา อย่างสาว อีฟ พุทธธิดา ได้ออกมาอัพผ่านอินสตาแกรมว่าอาต้อยได้เสียชีวิตแล้ว ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัว ญาติพี่น้อง และแฟนคลับของนักร้องรุ่นใหญ่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

“เดลินิวส์ออนไลน์” ขอเปิดประวัติและผลงานของอาต้อยให้แฟน ๆ ได้ระลึกถึง

เศรษฐา ศิระฉายา มีชื่อเล่นว่า ต้อย เกิดเมื่อวันที่ 6 พ.ย. พุทธศักราช 2487 จบมัธยมปลายจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุประมาณ 16 ปี ด้วยการขนเครื่องดนตรีในวงดนตรีตามคำชักชวนของน้าชายของเขา สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ อดีตพระเอกภาพยนตร์ชื่อดังในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเศรษฐาได้ฝึกหัดทักษะด้านดนตรีแบบครูพักลักจำ จนกระทั่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้องตามสถานบันเทิงต่าง ๆ เช่น ตั้งวงหลุยส์กีต้าร์เกิร์ล กระทั่งได้รวมตัวกับเพื่อน ๆ นักดนตรีตั้งวงดนตรี Holiday J-3 ร่วมกับวินัย พันธุรักษ์, พิชัย ทองเนียม, อนุสรณ์ พัฒนกุล และ สุเมธ อินทรสูต ต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็น Joint Reaction และเปลี่ยนอีกครั้งในชื่อ The Impossibles ซึ่งเป็นชื่อการ์ตูนชื่อดังของอเมริกาในสมัยนั้น โดยเขารับบทบาทเป็นนักร้องนำ ปี พ.ศ. 2512 ดิอิมพอสซิเบิ้ลสามารถคว้าถ้วยพระราชทานรางวัลชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งผลให้เริ่มเป็นที่นิยมและเป็นจุดเปลี่ยนให้เศรษฐาได้เข้ามาสัมผัสโลกภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เมื่อเขาและเพื่อน ๆ ได้รับการทาบทามจาก เปี๊ยก โปสเตอร์ ให้มาร่วมบรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง โทน

ทั้งนี้ เศรษฐา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ หลักสูตรโครงการพิเศษ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ระดับปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต MBA มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ดิอิมพอสซิเบิ้ลยังคงชนะเลิศการประกวดวงสตริงคอมโบอีก 2 ครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นและได้บรรเลงเพลงประกอบภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง อาทิ ดวง (2514), สวนสน (2514), ระเริงชล (2515), ตัดเหลี่ยมเพชร (2518) ฯลฯ กลายเป็นวงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ปี พ.ศ. 2518 หลังกลับมาจากการไปทัวร์ที่ต่างประเทศ เศรษฐาก็ได้รับการชักชวนจาก จุรี โอศิริ ให้มาแสดงภาพยนตร์อย่างจริงจังครั้งแรกคือเรื่อง ฝ้ายแกมเพชร (2518) แต่ก็ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาครองจากผลงานดังกล่าวได้ทันที

ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ดิอิมพอสซิเบิ้ลประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ เศรษฐาจึงก้าวเข้าสู่โลกมายาอย่างเต็มตัว มีบทบาทโดดเด่นทั้งการเป็นพิธีกรและนักแสดง นับเป็นดารายอดฝีมือคนหนึ่งซึ่งสามารถรับบทบาทได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นบทดี บทร้าย บทตลก ส่งผลให้มีผลงานออกมามากมายจวบจนปัจจุบัน โดยเรื่องที่โดดเด่นที่สุดเรื่องหนึ่งคือ ชื่นรัก (2522) ซึ่งเขาได้รับบทพระเอกประกบคู่กับ อรัญญา นามวงศ์ นางเอกชื่อดัง เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ชีวิตกันในเวลาต่อมา

จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2554 เศรษฐา ศิระฉายา ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) และมีผลงานต่าง ๆ ทั้งร้องเพลงและการแสดงเรื่อยมา

จากนั้นเศรษฐา ได้มีข่าวว่าได้ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และต้องทำคีโมอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำคีโมของเศรษฐานั้นก็มีช่วงหลัง ๆ ที่มีอาการแพ้คีโม ทำให้ร่างกายซูบผอม แต่เศรษฐาก็ยังใจสู้และรักษาต่อเนื่องมา ท่ามกลางกำลังใจจากแฟน ๆ ที่ส่งไปหาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งลูกสาวอย่าง อีฟ พุทธธิดา ได้ออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า เศรษฐาเสียชีวิตแล้วในวันนี้ 20 ก.พ. 65 ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัวและแฟน ๆ ที่ทราบข่าว

ขอขอบคุณภาพข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย