นายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) หรือทนายนกเขา กล่าวผ่าน Facebook Live “ประชาชนคนไทย ปท.” ถึงกรณี น.ส.นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ “แตงโม” ซึ่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ได้ผ่าชันสูตรรอบ 2 แล้ว ว่า ตนหวังว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานสอบสวนทุกคนจะไม่นำภาพถ่ายลักษณะของบาดแผลที่ไปค้นคว้าตามเอกสารต่างๆ มาเทียบแล้วสรุปว่าใกล้เคียงกับบาดแผลคุณแตงโม โดยสรุปดื้อๆ ว่าเป็นใบพัดเรือเพราะขัดกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง ท่านบอกว่าวันนี้เป็นกระบวนการพิสูจน์หลักฐานเข้าสู่กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ ทุกคำตอบต้องเป็นวิทยาศาสตร์ บางส่วนจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรงนี้สำคัญ

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวต่อไปว่า กรณีคุณแตงโมนั้นเราเห็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มไปด้วยความน่าสงสัย นอกจากนี้กระบวนการในการติดตามหาพยานหลักฐานต่างๆ และกระบวนการสอบปากคำ วิธีการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาและผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นควรมีการชันสูตรพลิกศพครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งแตกต่างกันอยู่บ้าง

“ผมฟันธงและดูหลายรอบแล้ว โดยรวบรวมข้อมูลภาพ แต่ที่เราไม่เห็นคือภาพด้านหลังของคุณแตงโม จากประสบการณ์ของผมในการทำคดีวิสามัญฆาตกรรม, การซ้อมทรมานผู้ต้องหาทำให้เชื่อว่าด้านหลังของแตงโม จะต้องมีบาดแผลแน่นอน และผมไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ดังนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยพนักงานสอบสวนชี้แจงเรื่องนี้ เพราะประชาชนอยากรู้ว่ามีจริงหรือไม่ ขณะนี้มีการชันสูตรพลิกศพครั้งที่ 2 อาศัยอำนาจตามกฏหมายเรียกว่า พ.ร.บ.การให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2559” แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าว

นายนิติธร กล่าวว่า เฉพาะกฎหมายตัวนี้หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณแตงโมในคดีนี้ เมื่อประชาชนมีการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบครั้งที่ 2 และคุณแม่คุณแตงโมก็ประสงค์ให้ตรวจสอบครั้งที่ 2 ตรงนี้มีข้อแตกต่าง คือเห็นการเร่งรีบการประชุมของตำรวจ คือขั้นตอนที่เพิ่มขึ้นมาในกฎหมายว่าต้องมีคณะกรรมการประชุมว่าเห็นควรอย่างไร ที่จะมีการชันสูตรในครั้งที่ 2 เมื่อไปร้องขอแล้วดูตัวกฎหมายแล้วปัญหาที่ตามมา คือพนักงานสอบสวนเอาเข้าสำนวนคดีหรือไม่ ต่างกันกับมาตรา 5 (1) ถ้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ร้องขอเอง ตรงนี้ต้องนำเข้าสำนวนคดี แต่ถ้าตาม (4) ตามที่แม่คุณแตงโมร้องขอ ตรงนี้ไม่ได้บังคับว่าจะต้องนำเข้าสำนวนคดี

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวต่อว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องติดตามเพราะอยู่ๆ กฎหมายตรงนี้มาสร้างอุปสรรคให้กับประชาชน ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ในรายละเอียดนั้นขัดรัฐธรรมนูญที่บอกว่าหน่วยงานพิสูจน์หลักฐาน จะต้องมี 2 หน่วยที่เป็นอิสระต่อกัน แต่ในโครงสร้างของคณะกรรมการฯ นั้น ไม่ได้เป็นอิสระแยกออกจากกัน เพราะ1.คณะกรรมการตามกฏหมายนั้น คือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 2.ผู้บัญชาการของหน่วยงานพิสูจน์พยานหลักฐานก็ขึ้นอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นกัน เพราะฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้มีปัญหา นอกจากนี้มีประชาชนบางคนถูกข่มขู่ ตนขอร้องว่าอย่าไปทำเลยและขออย่าให้ไปรับงานแบบนี้ ขอให้มาหาตนเพื่อคุยแลกเปลี่ยนกันต่อหน้าดีกว่า

นายนิติธร ยังกล่าวว่า ฝากไปยังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ต้องเร่งแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ เพื่อไม่ให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ ในวันจันทร์ที่ 28 มี.ค. เวลา 10.30 น. ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อท่านในประเด็นที่ขอให้เร่งแก้พระราชบัญญัติฉบับนี้โดยด่วน เพราะเรื่องนี้การเข้าถึงต้องง่าย คณะกรรมการต่างๆ ตัดออกไปเลยอาจจะต้องถึงขั้นเปลี่ยนให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไปสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นอิสระต่อกันอย่างแท้จริง และเอาผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงเข้ามาทำหน้าที่เพราะในการพิสูจน์ต่างๆ มีหลายปัจจัยหลายศาสตร์หลายแขนงที่ต้องเข้ามาพิสูจน์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมรวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้น อิสระมากขึ้น

แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย กล่าวต่อไปอีกว่า ปรากฏการณ์คุณแตงโม สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรกับตำรวจ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ที่อยากเห็นความยุติธรรมเข้าถึงได้และทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกันต้องเร่งรัดการปฏิรูปตำรวจ เพราะสิ่งที่ตำรวจทำมานั้นไม่เคยจัดการอะไรแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้แม้ว่ากฎหมายปฏิรูปตำรวจยังไม่ออกมา แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรที่ต้องปฏิรูปตัวเอง

นายนิติธร กล่าวอีกว่า ตนจะไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเคยบอกว่าจะปฏิรูปตำรวจ แต่วันนี้ พ.ร.บ.ตำรวจยังไม่คืบหน้าเลยและรัฐธรรมนูญก็บอกว่าให้ปฏิรูปตำรวจให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ตอนนี้ผ่านมา 5 ปีแล้ว แต่พ.ร.บ.ตำรวจยังไม่คืบหน้าเลย ตนอยากฟังคำตอบให้ชัดว่าตกลงจะเอาไหมเรื่องการปฏิรูปตำรวจ ความจริงใจมีมากน้อยแค่ไหน เพราะความใส่ใจในเรื่องนี้รัฐบาลมีน้อยเหลือเกิน.