กลายเป็นประเด็นที่หลายคนสนใจหนักมากสำหรับรายการโหนกระแสที่ได้สัมภาษณ์ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กรณีจะพา แม่ภนิดา ศิระยุทธโยธิน คุณแม่ แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ ไปพบพนักงานสอบสวน จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมให้บุคคลบางคนที่อยู่บนเรือ รวมทั้งคุณแม่ไม่ยอมแล้ว จะดำเนินคดีกับคนบางคนที่กล่าวหา ด่าว่าหน้าเงิน หิวเงิน ทำให้ลูกตาย พัวพันถึง บังแจ็ค ที่เอาผ้าผืนนึงมาแล้วระบุว่าเป็นผ้าผูกเอวของแตงโมที่หายไป โดยมีการติดต่อ ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ จน ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาสวน กลายเป็นศึกวิวาทะดัง

ทนายเดชา เผยว่า “ที่ไม่ออกรายการไหนแต่โฟนอินเอาคือแม่แกไม่อยากให้ออก ทุกช่องเชิญ เราไปช่องนี้ อีกช่องไม่ไป เขาก็ว่าอีก น่าเกลียด จะปิดโทรศัพท์เลยก็ไม่ได้ วันๆ อยู่สำนักงาน ไม่ทำอะไรก็รับโฟนอินทั้งวัน ก่อนมานี้ก็โฟนอินอยู่ น้องๆ นักข่าวก็เหมือนพี่เหมือนน้องเรา ที่แม่ถูกเชิญไป สภ.นนทบุรี จำได้มั้ย มีตร.พาผู้หญิงคนนึงไปฟ้องที่ศาลแขวง สำนวนตีกลับมา อัยการบอกว่าจะมาลักไก่แบบนี้ได้ไง เอาตัวรอดคนเดียวเหรอ ก็เป็นที่มาของพนักงานสอบสวนไปดูหลักฐานแล้วว่าคนๆ นี้น่าจะมีข้อหาเพิ่มหนึ่งในห้าคนนี้แหละมีโอกาสสุดๆ ข้อหาเพิ่มน่าจะเป็นเรื่องการทำลายพยานหลักฐาน ข้อหาแรกคือโกหก แจ้งความเท็จ”

“ส่วนบังแจ็ค มันขยะโซเชียล ขยะเปียกด้วยนะไม่ใช่ขยะธรรมดา ไม่มีราคา ไปแยกเก็บก็ทำอะไรไม่ได้ ที่เขาเอาผ้าน้องแตงโมมาเปิดเหมือนขยะ มือเขี่ยเราก็สกปรกไปด้วย คนที่เป็น ส.ส.เหรอที่เชื่อ แต่ผมไม่ได้เป็น ส.ส.นี่ เขาบอกว่ายัง เขาบอกเขามีความจริงใจในการค้นหาความจริง เผื่อเจอวัตถุพยานเป็นฆาตกรรมบ้าง ก็ไม่อยากวิจารณ์ ปล่อยไปเถอะ เดี๋ยวให้ทนายตั้มจัดการ”

นอกจากนี้ในรายการยังมีการเปิดคลิปของ หนุ่ม กรรชัย พิธีกรเรื่องผ้าผูกเอวของสาวแตงโมด้วย โดยหนุ่มกล่าวว่า “ไม่มีใครเคยเห็น เพราะมันอยู่กับผม ดูที่ผูกผ้า ผมดูจากผ้า เอาอันนี้ไปให้ดีไซเนอร์ กับคอสตูมหลายๆ คน ได้มีการเช็ก และเปรียบเทียบภาพ คุยประมาณ 10 คอสตูม กับ 3 ดีไซเนอร์ เขาบอกว่าผ้าที่แตงโมผูกอาจมีการอะแดป โดยเอาผ้าผืนที่เขาซื้อ แล้วเอาผ้าอีกผืนมาเย็บติดช่วงด้านหน้า เพื่อผูกไขว้ให้แน่น พอตกน้ำไปน่าจะมีการหลุดขาดไป เหมือนผ้าคนละชิ้น แต่มีการเอามาอะแดปทำเอง แบบนี้จะยังไง

เดชา เผยว่า “คือมันไม่ใช่ความจริง ก็เป็นหน้าที่ของบ้านเมืองไป มันชัดเจนว่าเป็นความเท็จ เพราะการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีความผิด สร้างความปั่นป่วน”

ด้าน ทนายตั้ม เผยว่า “เมื่อคืนมีการไปออกรายการคู่กันของคุณพุทธ ผมเห็นเขาให้สัมภาษณ์ของไทยรัฐอีกรายการนึง ผมก็เอ๊ะ ทำไมพูดกับเรากับออกสื่อคนละเรื่องกันเลย แล้วไปพูดเหมือนกับว่าจะเอาคะแนนนิยมเข้าตัวเอง เหมือนผมไปกล่าวว่าเขาเยอะแยะ แต่จริงๆ ไม่ใช่ อย่างรายละเอียดที่ผมโพสต์ไป ผมก็เลยชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ส.ส.เต้มาคุยกับผม คุยกันสั้นมาก แค่ไม่กี่ประโยค เขาโทรฯมาก็ใช้คำพูดว่าเฮ้ย น้อง ไปว่าพี่อย่างนี้เลยเหรอ ใช้คำพูดเขาก็เหมือนมาขิงใส่ผม ผมก็เป็นคนไม่ยอมอยู่แล้ว อยู่ๆ จะโทรฯมาหาทำเป็นฟอร์มเยอะ ข่มๆ แบบนี้ ตอนโทรฯมาก็เลยสวนกลับไปว่า เป็น ส.ส. เวลาจะนำเสนออะไรให้ตรวจสอบก่อน ไม่ใช่ไปโพสต์อะไร หลักฐานเท็จแล้วไปเชื่อบังแจ็ค ซึ่งมันโกหกมากี่เรื่องแล้ว ผมก็ว่ากลับไป พูดแค่นี้ แต่เขาเอาไปให้สัมภาษณ์อีกแบบนึงเลย ผมก็ค่อนข้างไม่ค่อยพอใจ เมื่อเช้าเลยโพสต์ตัวนี้ออกไป แต่ผมฝากสื่อไปหลายช่องแล้ว ให้ ส.ส.เต้ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่บังแจ็คพูดจริงให้ขอแท็กกิ้งที่บอกว่ามี ตร.ส่งไปให้เขาที่อเมริกา ขอมาให้ได้นะเพราะเห็นบอกว่าสนิทกัน ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าร่วมขบวนการเดียวกัน ร่วมกันหลอกลวง ถ้าบริสุทธิ์ใจไปหาหลักฐานตรงนี้มาให้ได้ แล้วที่บังแจ็คมาโพสต์ว่าจะส่งหลักฐานให้ ส.ส.เต้ ก็ขอแท็กกิ้งมาอีก ว่าส่งให้ใคร แล้วจะได้วันไหน

“ใครเชื่อบังแจ็คพูดต้องตรวจสอบประสาทแล้ว ว่ายังเต็มเต็งอยู่หรือเปล่า แต่ละเรื่องที่เขาพูดมา ผมบอกได้เลย อย่างเขาไปคุยกับใคร คำสองคำก็อัดเสียงมา แล้วเอามาบอกสื่อว่าได้คุยกับคนนี้ แล้วแต่งเรื่องต่อไปเลย ผมถึงไม่ให้โอกาสบังแจ็คคุยกับผมแม้แต่วินาทีเดียว เพราะผมรู้ว่าเดี๋ยวมาคุยกับผม ก็ไปเล่าให้สื่อ หรือออกสื่ออีกแบบนึง คือบังแจ็คเขามีประวัติเยอะแยะที่ผ่านมา ไปดูในเน็ตก็จะเห็นเลย แล้วการที่ ส.ส.เต้มาบอกว่าเป็นการให้โอกาสคน โห แลดูเป็นคนดีมาก ก็เตือน ส.ส.เต้ไว้เลย การให้โอกาสคนเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ใช่ให้โอกาสเขากลับมาทำผิด หรือเป็นเครื่องมือเขาในการทำลายพยานหลักฐานเท็จ อย่างนี้ต้องมีวุฒิภาวะหน่อยเวลาเราจะสื่อสารอะไรกับสังคมออกไป ไม่ใช่ได้อะไรมาดีใจแล้ว ต้องยอดแชร์เยอะ ยอดไลค์เยอะ รีบโพสต์เลยโดยไม่มีการตรวจสอบก่อน ขนาดคลิปแรมโบ้อีสานผมก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าจริงหรือไม่จริง เผื่อใครมาแกงผม มาใช้ผมเป็นเครื่องมือ แล้วเป็นคลิปปลอมขึ้นมา มีตลกทำเลียนแบบขึ้นมา ผมไม่เห็นต้องรีบโพสต์อะไรเลย ตรวจสอบก่อน ตัวเองเป็นถึงบุคคนสาธารณะ จะมาพูดว่าดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย เป็นคนทำงาน ไม่มีใครว่าทำงาน แต่ให้รู้หน้าที่ตัวเองว่าคืออะไรแน่ ทุกวันนี้ไปล่องเรือหารักอะไรอยู่”

“บังแจ็คผมไม่ให้ราคาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกล่าวถึงก็ได้ แต่ถ้าจะกล่าวถึง ส.ส.เต้ว่าอย่าทำเรื่องนี้ ที่มีคนเสียชีวิต เอามาหาคะแนนนิยมให้ตัวเอง ผมว่าไม่คูลนะ ถ้าออกมาช่วยด้วยความจริงใจไม่ว่าอะไรเลย แต่อย่าเอาหลักฐานเท็จเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเองมีคนติดตาม วันที่เขาโทรฯหาผม ไลน์หาผมให้ผมช่วยแชร์ จริงๆ เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ถ้าโทรฯมาครั้งเดียวแล้วผมทำให้ ก็ต้องรู้แล้วนะ แต่ถ้าผมไม่ทำให้ ไม่ต้องโทรฯมาย้ำหลายครั้ง หรือไลน์มาหลายรอบ ไม่ทำให้ก็คือไม่ทำให้ ทำไมต้องแชร์ เพราะอะไร อยากได้ยอดไลค์ยอดแชร์ขนาดนั้นเลยเหรอ ผมยังไม่เคยให้ใครช่วยแชร์ผมเลย”

ก่อนที่ ทนายเดชา จะเผยปิดท้ายปมเรื่องคุณแม่ได้รับเงินชดเชยหรือยัง โดยมีการระบุว่า “ไม่มีครับ เท่าที่ผมทราบนะ ส่วนเรื่องส่วนตัวของลูกความ โดยมารยาทนายความจะไม่ยุ่ง เรื่องที่ผมเคยคิดว่าคุณแม่หน้าเงินมันก็ไม่ใช่แล้ว ในทางตรงกันข้าม คุณแม่เป็นคนน่าสงสารมาก ผมพาคุณแม่ไปกินข้าวหลายครั้ง พาไปดูแม่น้ำไปที่เกิดเหตุต่างๆ เดินก็น่าสงสาร เดินก็จะล้ม ต้องมีคนพยุง ข้อแรกเรื่องหน้าเงินตัดไป ไม่ใช่ความจริง เป็นการใส่ร้ายเขา ข้อที่สอง เขาไม่รักลูกก็ไม่จริง นั่งกินข้าวเปิดแท็บเล็ตดูรูปภาพลูก บางครั้งก็น้ำตาซึม กลางคืนก็นอนก็ไม่หลับ บางวันไปดูในโซเชียล มีแต่คนส่งไลน์ไปด่า เขาต้องให้หมอสั่งยานอนหลับ เขาอยู่ก็อยู่คนเดียว และการค้นหาความจริงก็ทำเต็มที่ แต่เขาไม่ได้บอกเลย เขาทำเต็มที่ ที่เขาพูดว่าให้อภัยลูกปอสุภาพบุรุษ คำพูดนี้เป็นลักษณะคำพูดที่เขามีความเมตตา อย่างกระติกก็ให้อภัยตามมารยาท แต่จริงๆ เขาก็ดำเนินคดีเต็มที่ วันนี้เขาก็ไปดำเนินคดีอีก ดำเนินคดีทุกคน เขาไม่สนใจอยู่แล้วเรื่องเงิน พอถึงเวลาเขาก็ไปดำเนินคดีทุกคน ก็อยากฝากถึงโซเชียลว่าวันหน้าเกิดเป็นแม่คน ลูกเขาตาย แล้วคนภายนอกมาด่าทุกวันในโซเชียล จะรู้สึกยังไง เขาดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่มีหรอก เงิน 30 ล้านที่ไหน ไม่มี เต็มที่เลยประสาน ตร. ประสานอัยการจังหวัด”