ร้อนแรงไม่เบาทีเดียวสำหรับเรื่องราวของครูเพลงคนดังขวัญใจคนไทยทั้งประเทศอย่าง ครูชลธี ธารทอง ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวเดินหน้าฟ้องลูกศิษย์ที่รักเหมือนลูกแท้ๆอย่างนักร้องคนดัง เสรี รุ่งสว่าง ปมลิขสิทธิ์เพลงของตัวเอง โดยล่าสุดครูชลธีและภรรยาคนดัง ครูปุ้ม ศสิวิมล ได้ออกมาอัพเดทเรื่องนี้ผ่านรายการดังคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/04/thumbnail_IMG-3906.jpg)
ครูปุ้ม เผยว่า “ครูชลธีฟ้องเสรีคือฟ้องเรื่องลิขสิทธิ์เพลง แต่จริงๆ แล้วคุณเสรีอยู่กับครูนานมาก นานกว่าที่พี่ปุ้มแต่งงานกับครูอีก การฟ้องครั้งนี้จุดใหญ่ไม่ได้มาจากครูหรอก แต่ครูก็มีส่วนหนึ่งเนอะ แต่ว่ามันก็มีพรายกระซิบบางอย่างที่ฟ้องนะๆ แต่ตอนนี้ตำรวจไม่สั่งฟ้องแล้ว เพราะมันเป็นลายมือครู ทุกอย่างจบลงแล้ว คุณเสรีเหมือนลูกชายแกเลย คุณเสรีเสียใจมากในเหตุการณ์ครั้งนี้ เรื่องมันจบไปแล้วเหลืออย่างเดียวเขาสองคนจะเจอกันเมื่อไหร่ จะคุยกันเมื่อไหร่ ตอนนั้นปกป้องเสรีเต็มที่ ออกโรงจนเขาเอาไปประกอบศาลฟ้องหย่าพี่ พี่ก็งง แต่ศาลเขาบอกว่าสามีภรรยา คิดคนละอย่างไม่ผิดเรามีสิทธิที่จะคิด เพราะพี่รู้อยู่ว่าอะไรคืออะไร แต่ว่าคนที่คอยเสี้ยม คอยบอกครู ให้ครูฟ้อง สังเกตไหมอดีตที่ผ่านมาจะไม่ได้ยินข่าวว่าครูชลไปฟ้องใครเลย มีแต่คนฟ้องแก แต่พอไปอยู่นั้น 4 ปีครูชลฟ้องคนนั้น คนนี้ เราก็เลยงงว่าเกิดอะไรขึ้น เราเลยพยายามแสดงตัวว่าเราอยู่ข้างที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่เราไม่รักครูชลนะ แต่เราพยายามส่งสารบอกว่าพ่อทำไม่ถูกนะ แต่เราก็ไม่สามารถติดต่อครูชลได้เลย ถามว่าอยากให้จบยังไงเรื่องนี้นะ บอกตรงๆอยากให้เขาคุยกันค่ะ”
![](https://www.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/04/thumbnail_IMG-3913.jpg)
ครูชลธี เผยว่า “ผมอยากจะพูดตรงๆ นะ ผมไม่เคยเซ็นอะไรเสรี อนุญาตไปบางครั้งบางคราว ไม่กี่เพลง แต่ตอนหลังเอาเพลงผมไปเกือบ 100 เพลง แล้วลงชื่อว่าเป็นลิขสิทธิ์ของเขา ก่อนจะทำอะไรลงไป เขาน่าจะมาคุยกับเจ้าของลิขสิทธิ์บ้าง พอผมพูดอะไรขึ้นมาก็มีปฏิกิริยา เขาเป็นลูกศิษย์ผม ถ้าไม่มีผมเสรีไม่เกิด ผมบอกตรงๆ แต่ว่าบางครั้งเสรีก็อวดรู้เรื่องกฎหมาย ผมอยู่กับกฎหมายลิขสิทธิ์มาทั้งชีวิต ผมผ่านการต่อสู้เรื่องลิขสิทธิ์มาเยอะ ทำไมผมไม่รู้ตรงไหนผิด ตรงไหนถูก ผมยังฟันธงตรงๆ เลยว่าเสรียังทำอะไรไม่ถูกต้อง อย่าทำต่อมันเสียความรู้สึก ถ้ายังเคารพกันอยู่อย่าทำต่อ ถ้าทำต่อต้องมาบอกผมมาคุยกับผมให้เป็นเรื่องเป็นราว “