เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน คุณแม่ของแตงโม พร้อมด้วย ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เดินทางมาที่ สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษและให้ปากเพิ่มเติมในคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา และกรณีที่มีการกล่าวหาทำให้คุณแม่เกิดความเสียหาย

โดย พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รอง ผบช.ภ.1 และทนายเดชา ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าทางคดีว่า วันนี้พนักงานสอบสวนได้เชิญทนายและแม่ภนิดา เดินทางมาสอบสวนเพิ่มเติม และได้เชิญกระติก มาแจ้งข้อกล่าวหา “ทำลายพยานหลักฐาน” และสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งคดีมีความคืบหน้าไปกว่า 90% แล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่จะต้องสรุปคดี ซึ่งการแจ้งข้อหา กระติก ในข้อหา ทำลายพยานหลักฐาน พบว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมที่สามารถแจ้งข้อหาได้ แต่ก่อนหน้านี้พยานหลักฐานยังไม่ชัดเจน เมื่อได้หลักฐานจากพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่วนจะเป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์หรือไม่นั้นไม่ขอเปิดเผย เพราะโทรศัพท์เป็นพยานหลักฐานที่ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว

ทั้งนี้ ผบช.ภ.1 ได้ให้ฝ่ายกฎหมายและผู้ที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลของบุคคลที่นำข้อมูลอันเป็นเท็จบิดเบือนลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีบิดเบือนสร้างความเสียหายต่อรูปคดี และทำให้สังคมเกิดความสับสน จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลที่เห็นชัดเจนปรากฎตามสื่อโซเชียลและที่ผ่านมาตำรวจไม่อยากดำเนินการ แต่ก็ยังมีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสับสนและเกินเลยจนสังคมเข้าใจผิด และครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้รับความเสียหาย ฝากถึงคนไม่รู้จริงขอให้หยุดพฤติกรรม

ส่วนบุคคลที่จะถูกดำเนินคดีมีกี่รายนั้นยังไม่สามารถระบุได้ แต่เชื่อว่าบุคคลเหล่านี้จะรู้ตัว เพราะการที่นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบก็ต้องรับในสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่า การดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ตำรวจใช้ทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ซึ่งบางเรื่องอาจมีการขอโทษแล้วจบ แต่บางเรื่องจะต้องดำเนินคดีให้เด็ดขาด และเชื่อว่าคดีนี้จะต้องมีการถอดบทเรียนในทุกมิติ รวมถึงการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน และการสืบสวนสอบสวน

และกรณีการร้องเรียนของนายนิติธร ล้ำเหลือ กลุ่มประชาชนคนไทย ที่ให้ตรวจการทำหน้าที่ของ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี และผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ในการทำหน้าที่คดีแตงโม หลังจากที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ออกมาพูดถึงว่าทั้งสองคนให้การว่า ปอ-โรเบิร์ต ไม่มีพิรุธนั้น พล.ต.ต.อุดร ระบุว่า ผบช.ภ.1 ได้ส่งเรื่องให้รอง ผบช.ภ.1 รับผิดชอบงานจเร ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ร้องเรียนเข้ามาทุกประเด็น

พล.ต.ต.อุดร ยังระบุอีกว่า วันที่ 18 เม.ย. จะแถลงสรุปสำนวนคดี โดยในวันดังกล่าวตำรวจจะทำกราฟิก และชี้แจงรายละเอียดในประเด็นที่เป็นข้อสังคมสงสัยจะมีคำตอบให้ทุกประเด็นที่ไม่กระทบกับข้อเท็จจริงในสำนวนคดี แต่ต้องไม่ใช่ประเด็นที่เป็นข้อสันนิษฐานและความเชื่อ และจินตนาการ รวมถึงประเด็นดราม่า

ด้าน ทนายเดชา กล่าวว่า วันนี้พาคุณแม่ภนิดามาพบตำรวจเพื่อให้การเพิ่มเติมกับบุคคลที่ทำให้แม่ไม่สบายใจ ซึ่งมีหลายบุคคลทั้งการกล่าวหาหรือทำให้แตงโมได้รับความเสียหาย ก็จะมาปรึกษาและให้ข้อมูลกับตำรวจ ซึ่งหากตำรวจมีหลักฐานว่าเข้าข่ายความผิดใดก็จะดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านั้น และในขณะนี้มีบุคคลที่ทำให้แม่ไม่สบายใจมากกว่า 10 คน

ส่วนกรณี ส.ส.เต้ ที่ออกมาให้ข้อมูลว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ 8 คน และแตงโมไม่ได้เสียชีวิตในน้ำนั้น ทนายเดชา ระบุว่า ตนเองไม่ได้คุยกับ ส.ส.เต้มานานแล้ว เพราะรู้สึกว่าเกินเลยไปมาก เพราะมีการตั้งทีมสืบสวนสอบสวนเหมือนตำรวจ เช่าโรงแรมแถลงข่าว ทำให้คดีเสียหายเกิดความสับสน จึงอยากขอให้สื่อหยุดทำข่าวกลุ่มคนเหล่านี้ ส่วนการที่ ส.ส.เต้จะไปยื่นถอดถอนตนที่ทำผิดมารยาททนายความนั้น ตนเองไม่ได้กังวลและขอท้าให้รีบไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ส.ส.เต้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ จะเกี่ยวข้องกับการหาคะแนนเสียงหรือไม่ ทนายเดชา ระบุว่า ก็อยู่ในช่วงใกล้ยุบสภา ใกล้เลือกตั้ง การออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นที่รู้จักของประชาชน หากจะบอกว่าออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแตงโม ก็ต้องนำหลักฐานมาให้ตำรวจไม่ใช่นำหลักฐานไปแถลงข่าว มันไม่เกิดประโยชน์

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า พฤติกรรมของ ส.ส.เต้ กับคดีของคุณแตงโม เปรียบเหมือนละครที่ทำเป็นซีรีส์หรือไม่ ทนายเดชา ระบุว่า ไม่ได้เป็นละครแต่จะเป็นคดี

นอกจากนี้ระหว่างแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นว่า นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล มายืนอยู่ด้านหลังเพื่อร่วมฟังการแถลงข่าว และช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามรอง ผบช.ภ.1 และทนายเดชา ว่า ที่มีคนออกมาให้ข้อมูลเรื่องการรับงานเอ็นฯ และพาดพิงคุณแตงโม จะมีการดำเนินคดีกับบุคคลที่พูดหรือไม่ และนายสันธนะ จะเข้าข่ายบุคคลที่จะถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ ระหว่างนั้นนายสันธนะ ก็ตะโกนขึ้นมากลางวงแถลงข่าว พร้อมชี้นิ้วมาที่ทนายเดชาและพูดว่า “ทนายเดชาพูดชื่ออกมาเลย” ท่ามกลางความสงสัยของนักข่าว โดยทนายเดชาตอบว่า “ไม่ใช่พี่ ไม่เกี่ยว”