จากกรณีโลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 แอสตราเซเนกาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ ทั้งที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเป็นจำนวนมากนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 26 ก.ค.พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า  สืบเนื่องจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ตั้งโครงการขึ้นมาชื่อว่า”โครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา”โดยให้ตำรวจทุกสภ.สมัครใจเข้ามาเป็นอาสาไปรับผู้ป่วยโควิด-19 ระดับสีเขียวที่พื้นที่สีแดง กลับมารักษาตัวที่บุรีรัมย์ซึ่งมีโรงพยาบาลสนามรองรับไว้แล้ว

โดยมีตำรวจสมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้ว 9 สภ.แต่ละ สภ.จะตั้งเป็นกลุ่มๆละ 11 นาย ในนี้มีหัวหน้าชุด 1 นายหน้าที่หลักคือต้องขับรถขนผู้ต้องหาของตำรวจซึ่งจะมีห้องแยกระหว่างคนขับกับผู้โดยสารชัดเจน โดยไม่ต้องไปดัดแปลงรถไปรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่สีแดง กรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ต้องเป็นผู้ป่วยระดับสีเขียว อาการไม่หนัก กลับมารักษาตัวที่บุรีรัมย์เพื่อลดความแออัดของผู้ป่วยที่ไม่มีเตียงรักษา

ตำรวจชุดนี้ถือว่าเป็นกลุ่มด่านหน้ามีความเสี่ยงสูง ซึ่งตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข จะต้องมีการฉีดเข็มที่ 3ให้บุคลากรทางการแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ด่านหน้าดังนั้นตำรวจชุดนี้ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ด่านหน้ามีความเสี่ยงสูงชัดเจน

ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า  หลังจากโครงการได้เริ่มขึ้นมาได้ไปรับผู้ป่วยกลับมารักษาที่บุรีรัมย์แล้ว 40 คน ทั้งนี้วัคซีนที่นำมาฉีดให้กับตำรวจไม่ใช่วัคซีนที่ไปเบียดบังเอาวัคซีนหลักมาฉีด แต่เป็นวัคซีนที่เหลือเศษจากขวดวัคซีน ประมาณ 1-2 โดส ต่อขวด เพราะวัคซีนแต่ละขวดจะมีปริมาณมากกว่า 10 โดสอยู่แล้ว

สั่งสอบด่วนตร.บุรีรัมย์11นาย ฉีดวัคซีน “แอสตราเซเนกา”เข็ม3

อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนให้กับตำรวจที่ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ซึ่งเป็น สภ.แรกที่นำร่องการฉีดให้กับบุคคลากรด่านหน้า ซึ่งจะต้องทำการฉีดตำรวจชุดนี้ที่เหลืออีกต่อไป ด้วยการเอาวัคซีนที่เหลือจากก้นขวดมาฉีดยืนยันไม่ได้เบียดบังเอาวัคซีนหลักมา