เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นายวันชัย พรมมาโอน ปลัดอาวุโส อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านบะยาว หมู่ 12 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้รับแจ้งจาก น.ส.องุ่น อายุ 22 ปี ชาวบ้านบ้านบะยาว หมู่ 12 ต.บะยาว อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี ว่า ผู้เป็นแม่ ถูกนายหน้าหลอกไปทำงานนวดแผนโบราณ ที่เมืองอัลนาห์ดา 2 นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่กลับถูกบังคับให้ขายตัว แม่ไม่ยินยอมจึงถูกยึดพาสปอร์ต และถูกนำไปขังไว้ที่ชั้น 2 ในตึกแห่งหนึ่ง ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ จึงอยากจะขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากกลับบ้านที่ประเทศไทยโดยด่วน ซึ่งยังมีหญิงไทยนับสิบรายถูกขังรวมกันอย่างทุกข์ทรมาน

โดยระหว่างที่น้ององุ่นและครอบครัว กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าว เพื่อซักถามข้อมูลและหาทางช่วยเหลือครอบครัวนี้ น้ององุ่นได้พยายามติดต่อแม่ผ่านทางออนไลน์ กระทั่งระหว่างการพูดคุยสามารถเชื่อมสัญญาณและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รวมถึงผู้สื่อข่าวผ่านทางวิดิโอคอล แต่ยังไม่สามารถประสานข้อมูลได้มากกว่านี้ เนื่องจากแม่แจ้งลูกสาวว่า ไม่สามารถพูดคุยเสียงดัง หรือออกอากัปกิริยาได้มากไปกว่านี้ เพราะกลัวว่านายจ้างจะรู้เห็นในการติดต่อสื่อสารขอความช่วยเหลือในครั้งนี้

น้ององุ่น เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีนายหน้าชาวจ.ปทุมธานี ติดต่อมาที่พี่สาว ที่เป็นลูกสาวป้า หรือเป็นหลานของแม่เอง เป็นนายหน้าที่เคยทำงานด้วยกันที่เกาหลีใต้ เสนองานนวดแผนโบราณ จะพาไปทำงานที่นครดูไบ ก่อนมาชักชวนแม่ไปทำงาน ด้วยความที่อยากหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว จึงหยิบยืมเงินญาติเป็นเงินคนละ 40,000 บาท เป็นค่าเดินทาง เดินทางไปทำงานวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่พอไปถึงไม่เกิน 2 วัน แม่ติดต่อกลับมาทางไลน์และเฟซบุ๊คบอกว่า ให้หาทางช่วยแม่ด้วย แม่อยากจะกลับบ้าน เพราะงานที่นี่ไม่ใช่งานนวดแต่เป็นการขายบริการทางเพศ เขายึดพาสปอร์ตและถูกขังไว้ในห้อง โดยถูกแยกตัวออกจากพี่สาวที่ไปด้วย และมีผู้หญิงไทยนับ 10 คนถูกขังไว้รวมกัน ทุกคนอยากกลับบ้านทั้งหมด

“ถูกขังอยู่ที่ชั้น 2 ของอาคาร พูดเสียงดังไม่ได้ กลัวนายจ้างจะรู้ ทราบแค่ว่าเจ้าของร้านเป็นคนจีน มีภรรยาชื่อชื่อลินดาเป็นคนหนองคาย นายจ้างบอกว่า หากจะกลับเมืองไทยต้องหาเงินมาไถ่จำนวน 105,000 บาท ครอบครัวตนเองไม่มีเงินขนาดนั้น จึงอยากจะขอความช่วยเหลือช่วยเหลือให้พาแม่กลับบ้าน ระหว่างที่แม่ถูกขังอยู่ในห้อง ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการ กินอยู่ทุกวัน รวมถึงค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ที่ใช้ติดต่อกันด้วย แม่พกเงินไปด้วยจำนวน 7 พันบาท แลกเป็นเงินที่นั่นได้เป็นเงิน 5 พันบาท พี่สาวที่ไปด้วยก็ติดต่อไม่ได้ แม่ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนไม่เป็น ต้องให้ผู้หญิงที่ถูกขังไว้รวมกันช่วยติดต่อระหว่างกันให้เพื่อพูดคุยกัน” น.ส.องุ่น กล่าวทั้งน้ำตา

นายวันชัย กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าน่าจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพราะมีการติดต่อกันระหว่างแม่ลูกที่ร้องเรียนไป คาดว่าจะถูกหลอกไปทำงานขายบริการจริง และเดินทางไปแบบไม่ถูกกฎหมาย หลังจากนี้ จะพาลูกสาวผู้ถูกหลอกไปแจ้งความที่ สภ.วังสามหมอ และจะเร่งประสานงานกับหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านแรงงาน ให้การช่วยเหลือหญิงไทยที่ถูกหลอกไปทำงานโดยด่วนต่อไป.