แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปทีละเปลาะ โค้ชเปลี่ยนกะทันหัน ตัวผู้เล่นประกาศล่วงหน้าไม่ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าใครจะติดภารกิจสโมสรอะไรยังไง

จะอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่สภาวะสงคราม

ขุนพลนักเตะ 20 คน ไม่มี ชลบุรี เอฟซี ที่ประกาศจุดยืนมานานแล้ว รวมทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ปล่อยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยได้ใช้มาให้ เพราะมีบอลถ้วยรออยู่

แต่ว่าไปแล้ว ก็ไม่ขี้เหร่ซะทีเดียว ยิ่งเมื่อตัดสินใจใช้ตัวผู้เล่นอายุเกิน เต็มโควตา 3 คน คือ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, วีระเทพ ป้อมพันธ์ และ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ

กวินทร์ นั้น จุดประสงค์ใหญ่ เพื่อไปดูแลน้องๆ เหมือนตอนที่เรียกติดชุดชิงแชมป์อาเซียน ส่วน วีระเทพ นั้น ด้วยตำแหน่ง มิดฟิลด์เชิงรับ สามารถกำกับดูแลทั่วสนาม หรือปรับมาเป็นเซ็นเตอร์ก็ได้ ถ้าหลังรั่ว ขณะที่ วรชิต ฟอร์มดีวันดีคืน ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา มีโอกาสคว้าทองที่ 2 ให้ตัวเอง หลังจากทำสำเร็จในปี 2017

ตัวต่างชาติ ไม่มี ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร แต่ได้ เบนจามิน เจมส์ เดวิส จากออกซ์ฟอร์ด กับ โจนาธาร เข็มดี จากโอบี โอเดนเซ

2 คนนี้ เราเคยเห็นผลงานมาแล้ว ยังเชื่อว่าระดับอาเซียน ยังกินได้ไม่ยาก อาจจะห่วงตรงที่ เบน ที่ใส่สนับก้นกับ ออกซ์ฟอร์ด

ขณะที่ “เจ็ต” ชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช จากเอสโตริล ในโปรตุเกส ชื่อมาก่อนตัว เราเห็นกันแต่ในคลิป ต้องรอดูว่าจะปัง หรือแป๊กแบบ โอเว่น ชาร์ลี บัวพิศ ที่อุตส่าห์ลากมาติดทีมรอบคัดเลือกเอเชีย

ในแนวรับ โจนาธาร จะเป็นแกนหลักแน่ๆ ขณะที่แดนกลางขึ้นไปถือเป็นจุดเด่น นอกจาก วีระเทพ, วรชิต, เบนจามิน ยังมี เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่หายไปนาน และโชคดีที่ครึ่งฤดูกาลหลัง โยกมาเล่นแบบยืมตัวกับ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด เลยว่าง รวมทั้ง วิลเลียม แกเบรียล เวเดอร์เฌอ จากท่าเรือ ที่ทำได้ดีตอนศึกดูไบคัพ

แดนหน้า ธีรศักดิ์ เผยพิมาย พุ่งขึ้นมา ไล่ไปถึง “จีโอ้” จักรกริช พาละพล โดย พาตริก กุสตาฟสัน ที่แจ้งเกิดในดูไบคัพเช่นกัน ก็เป็นอีกอาวุธอันตราย

ส่วนปัญหาเรื่องการเตรียมทีมนั้น ใช้วิธี ใครว่างมาซ้อมก่อน ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็เหลือไม่กี่คนที่ต้องรอจบนัดปิดไทยลีก วันที่ 4 พ.ค. จึงร่วมแคมป์ได้

สรุปคือวันที่ 1-2-3 พ.ค. พอได้ชิมลาง จากนั้นไปลุยกันที่เวียดนาม วันที่ 5-6 พ.ค. ได้เต็มทัพ พอวันที่ 7 พ.ค. เปิดสนาม

เวลาน้อย แต่ยังดีกว่าไม่มีเลย ซึ่งตรงนี้ เข้าล็อกเหมือนตอน เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ

อย่างไรก็ตาม ตอนซูซูกิคัพ เราเปิดเจอทีมอ่อนอย่าง ติมอร์เลสเต แล้วได้เว้นแมตช์เดย์พอดี แต่กับซีเกมส์มันไม่ใช่

โจทย์ใหญ่คือ ทีมไทยต้องเปิดสนามเจอของแข็งสุดอย่าง มาเลเซีย ในวันที่ 7 พ.ค. จากนั้นพักวันเดียว เตะต่อแบบไม่ต้องหายใจหายคอ พบ สิงคโปร์ ในวันที่ 9 พ.ค. แล้วจึงได้เว้นยาว 4 วัน แล้วไปเจอ กัมพูชา วันที่ 14 พ.ค. และ ลาว วันที่ 16 พ.ค.

“เสือเหลือง” เป็นทีมคู่ปรับอันตรายสุดของไทยก็ว่าได้ เจอกันในมองโกเลียก็กินกันไม่ลง ดังนั้นความน่ากังวลของไทยคือ ในช่วงที่อะไรยังไม่ลงตัว เราต้องเจอของแข็งสุด

ส่วน 2 วันถัดมา ที่เจอสิงคโปร์ ข่าวดีคือ พี่น้องฟานดี้ อิรฟาน และอิคซาน จะไม่ไปร่วมแข่งขัน งานจึงเบาขึ้น เชื่อว่า ไม่เท่าไหร่

2 นัดแรกกับ เสือเหลือง และ เมอร์ไลออนส์ ถือเป็นกุญแจสำคัญ จะรวดหรือจะร่วง เพราะเป็นช่วงมึนๆ หากเปิดมามีแค่แต้มเดียว งานช้างทันที หรือถ้าสลึมสลือหนัก แพ้ 2 เกม จะแหย่เท้าตกรอบตั้งแต่พิธีเปิดอย่างเป็นทางการยังไม่เริ่ม

ในทางกลับกัน ถ้าชนะรวด หรือมี 4 แต้ม เชื่อว่าสถานการณ์พลิกไปอีกด้าน ถือว่า “ช้างศึก” ผ่านด่านแรกแล้ว

เราจะมีเวลา 4 วัน ให้ มาโน โพลกิง ปรุงแต่ง ใส่แทคติกกับนักเตะอย่างเต็มที่ และกับ 2 นัดต่อไป โอเค สมัยนี้ กัมพูชา ลาว ไม่ใช่ทีมที่ประมาทได้ แต่เป็นรองไทยอยู่ดี

ตีตั๋วเข้ารอบรองฯ ไปได้ตามเป้าหมาย ช้างศึก ที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง จะมีเวลากลายร่างเป็นแกร่งปึ้กขึ้นเยอะ ได้คั่วแชมป์ คั่วเหรียญทอง เรียกว่า เวียดนาม ก็เวียดนามเถอะ

สำคัญสุดคือ 2 นัดประเดิม ถ้าไม่ถูกฆ่าตัดตอน ตั้งแต่ยังเบบี้เสียก่อน เส้นทางสู่เหรียญทอง ก็สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว.

*** วุฒินล ***