เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หลังจากเคยมีหนังของตัวเองในปี 2016 สำหรับ Doctor Strange หรือ “หมอแปลก” จอมเวทย์มหากาฬ ซึ่งโกยรายได้ไปกว่า 677 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้าง 165 ล้านดอลลาร์ จากนั้นก็ไปโผล่ตามหนังในมาเวล ตั้งแต่ Thor, Avengers และ Spider-Man : No Way Home แล้วยังเป็นตัวแปรในการเปิด “มัลติเวิร์ส” หรือ “พหุจักรวาล” จนทำให้เหล่า Spider-Man ทั้ง 3 ภาคต้องมาเจอกัน

การกลับมาคราวนี้คงจะไม่เหมือนก่อนเพราะ ทางทีมผู้สร้างได้บอกเล่าเก้าสิบไปยังแฟนหนังค่าย Marvel ตั้งแต่เริ่มทำหนังในภาค 2 หรือ Doctor Strange in the Multiverse of Madness หรือที่มีชื่อไทยว่า จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย ว่าจะเป็น “หนังแนวสยองขวัญ” ซึ่งอาจจะไม่โดนใจเหล่าคุณหนูสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ผู้กำกับอย่าง “แซม ไรมี” ผู้สร้างหนังแนวผีโหดไล่ล่ากัดกินสมอง ไปจนถึงฆ่าตัดอวัยวะอย่าง Evil Dead และ Drag Me to Hell 2009 มากุมบังเหียนเรื่องนี้ ก่อนจะดึงมือเขียนบทอย่าง ไมเคิล วอลดรอน ผู้เชี่ยวชาญด้านมัลติเวิร์สจากซีรีส์ “โลกิ” มาเสริมความเข้มข้นของบทให้ดูลึกลับ ชวนพิศวง จนอาจทำให้ใครบางคนลืมไปเลยว่านี่คือหนัง ฮีโร่ ของ Marvel

เรื่องย่อ ใครที่เคยติดตาม ซีรีส์จากค่าย ดิสนีย์ พลัส ฮอตสตาร์ คงจะทราบว่า Doctor Strange in the Multiverse of Madness คือหนังภาคที่ต่อมาจากเรื่อง WandaVision หลังจาก “วันด้า แมกซิมอฟ” (รับบทโดย อลิซาเบธ โอลเซ่น) แม่มดจอมเวทได้สูญเสียคนรักอย่าง “วิชั่น” ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน มันจึงทำให้เธอใช้เวทย์สร้างภาพลวงตาเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ขึ้นมา พร้อม ๆ กับ สามีและลูกน้อย 2 คน กระทั่งวันหนึ่งเธอได้ค้นพบว่าใน “พหุจักรวาล” นั้น ตัวเธอมีลูกน้อย 2 คนจริง ๆ “วันด้า” คิดหาทางจะไปใช้ชีวิตอยู่ในจักรวาลดังกล่าว และแม้ว่าเธอจะเป็นจอมเวทมีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดในโลก แต่เธอกลับไม่มีพลังข้ามจักรวาล

ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องอาศัยเวทจากคัมภีร์มนต์ดำในการเชื่อมต่อไปหาผู้ที่มีพลังเคลื่อนย้ายไปยังจักวาลอื่น กระทั่งได้พบกับ สาวน้อย “อเมริกา ชาเวซ” (รับบทโดย โซชิตล์ โกเมซ) ฝ่ายแม่มดไม่รอช้าส่งเหล่าสัตว์ประหลาดข้ามไปยังมิติที่สาวน้อยอยู่ เพื่อไล่ล่าเอาตัวมาสูบพลัง ความทราบไปถึง Doctor Strange นั่นจึงทำเขาได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแม่มดเพื่อนเก่าที่จิตใจดีงาม ตอนนี้ถูกคัมภีร์โลกมืดครอบงำจนจิตใจกลายเป็นคนละคน เธอไล่ล่าสาวน้อยโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากการสูบพลังมาใช้จนกว่าอีกฝ่ายจะตาย ใครจะรอดชีวิตจากหายนะครั้งนี้ติดตามได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

จุดแข็ง
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่เริ่มแรก หนังเรื่องนี้เป็นแนวสยองขวัญ ซึ่งตามสไตล์การเล่าเรื่องของ “แซม ไรมี” จะถูกเล่าอย่างรวดเร็วและตรงไปตรงมา ผู้ชมจะได้ลุ้นกันแบบหลังไม่ติดเบาะ เพราะแค่เปิดฉากมา 5 นาทีแรกก็ใส่กันชนิดหูดับตับไหม้แล้ว ยอมรับว่าฉาก CG จัดหนักได้แบบสะใจมากกว่า Spider-Man : No Way Home หลายขุม แต่ที่โดนใจแฟนหนัง Marvel ก็คงจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งจากหนังซีรีส์อย่าง What If…? ที่นำเอามาใช้เสริมความเข้มข้นของเนื้อเรื่องให้ดูสนุกขึ้น (อิสเตอร์เอ็กซ์) รวมไปถึงการบอกเล่าเรื่องราวว่าฮีโร่ในค่าย Marvel ที่ไม่ได้มีเพียงกลุ่ม Avengers

สำหรับตัวละครที่เรียกว่าเป็น MVP แบบสังหารหมู่ดูสยองขวัญอย่าง “วันด้า แมกซิมอฟ” (รับบทโดย อลิซาเบธ โอลเซน) คราวนี้เล่นได้ร้ายและน่ากลัวเกินคาด บางช่วงบางตอนเหมือนศพเดินได้ คิดว่าต่อไปหากจะให้เธอรับบทในหนังแนวสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ คิดว่าผู้กำกับคงไม่ต้องแคสต์อะไรมากมายแล้วละ…

จุดอ่อน
ปัญหาด้าน “คอสตูม” คิดน้อยไปหน่อย อาจเป็นเพราะเนื้อหาเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เกิดขึ้น เสื้อผ้าก็เลยราบเรียบ ชุดฮีโร่ก็ไม่หวือหวาอะไร แม้แต่ฮีโร่ตัวใหม่ ๆ ก็ไม่มีความโดดเด่น ผู้ชมเห็นแล้วก็ไม่ติดตา ถือว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ ในส่วนของบทหนังช่วงกลางเหมือนดร็อปลงไป ความเนือยเข้ามาแทรกจนแทบหลับ การเล่าเรื่องเน้นลูปเดิม ๆ เจอปัญหาเรื่องหนึ่ง ก็จะไปเจอปัญหาอีกเรื่องหนึ่งเรื่อย ๆ ก่อนทุกอย่างจะคลี่คลายแบบง่ายดาย ทำเหมือนกับว่าโชคดีเพราะมีตัวช่วย ผู้ชมเดาออกง่ายมาก นอกจากนี้การไปสร้างบทอวยให้ตัวละครอย่าง “วันด้า แมกซิมอฟ” ที่จู่ ๆ ก็มีพลังระดับเทพ ชนิดเก่งแค่ไหนเพียงดีดนิ้วก็ยังตาย ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมสงสัยว่า ถ้ามีพลังแบบนี้ทำไมไม่เอามาใช้ตั้งแต่แรก มีหลายซีนที่ดูแล้วไม่สมเหตุสมผล และเกิดความสงสัยแน่นอน

3/5 กะโหลก เป็นหนังที่โดนใจแฟนคลับ Marvel แน่นอน เพราะเนื้อหาที่เชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวที่เข้มข้นในอนาคต แต่ก็ยังมีปัญหาตรงที่โชว์สยองแบบไม่เกรงใจเด็ก ๆ ก็เลยทำคะแนนดร็อปลงไป ถือว่าไม่เหมาะกับคุณหนูสักเท่าไร หากจะไปชมก็ต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครอง

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Marvel Studios